Wednesday, November 21, 2012

9 Daily Habits That Will Make You Happier Credit by Geoffrey James

Happiness is the only true measure of personal success. Making other people happy is the highest expression of success, but it's almost impossible to make others happy if you're not happy yourself.
 
With that in mind, here are nine small changes that you can make to your daily routine that, if you're like most people, will immediately increase the amount of happiness in your life:
 
1. Start each day with expectation.
 
If there's any big truth about life, it's that it usually lives up to (or down to) your expectations. Therefore, when you rise from bed, make your first thought: "something wonderful is going to happen today." Guess what? You're probably right.
 
2. Take time to plan and prioritize.
 
The most common source of stress is the perception that you've got too much work to do.  Rather than obsess about it, pick one thing that, if you get it done today, will move you closer to your highest goal and purpose in life. Then do that first.
 
3. Give a gift to everyone you meet.
 
I'm not talking about a formal, wrapped-up present. Your gift can be your smile, a word of thanks or encouragement, a gesture of politeness, even a friendly nod. And never pass beggars without leaving them something. Peace of mind is worth the spare change.
 
4. Deflect partisan conversations.
 
Arguments about politics and religion never have a "right" answer but they definitely get people all riled up over things they can't control. When such topics surface, bow out by saying something like: "Thinking about that stuff makes my head hurt."
 
5. Assume people have good intentions.
 
Since you can't read minds, you don't really know the "why" behind the "what" that people do. Imputing evil motives to other people's weird behaviors adds extra misery to life, while assuming good intentions leaves you open to reconciliation.
 
6. Eat high quality food slowly.
 
Sometimes we can't avoid scarfing something quick to keep us up and running. Even so, at least once a day try to eat something really delicious, like a small chunk of fine cheese or an imported chocolate. Focus on it; taste it; savor it.
 
7. Let go of your results.
 
The big enemy of happiness is worry, which comes from focusing on events that are outside your control. Once you've taken action, there's usually nothing more you can do. Focus on the job at hand rather than some weird fantasy of what might happen.
 
8. Turn off "background" TV.
 
Many households leave their TVs on as "background noise" while they're doing other things. The entire point of broadcast TV is to make you dissatisfied with your life so that you'll buy more stuff. Why subliminally program yourself to be a mindless consumer?
 
9. End each day with gratitude.
 
Just before you go to bed, write down at least one wonderful thing that happened. It might be something as small as a making a child laugh or something as huge as a million dollar deal. Whatever it is, be grateful for that day because it will never come again.
 

Friday, November 9, 2012

ตู้สติกเกอร์ยังมีเรื่องราว

ญี่ปุ่นนี่ใครๆก็รู้ว่าเป็นเจ้าแห่งหลายๆอย่างเช่น...การห่อ,การทำ packaging, การสร้างแบรนด์สินค้า ซึ่งทั้งหมดนั้นมาจาก story หรือเรื่องราวที่คนญี่ปุ่นใส่เข้าไปให้คนซื้อหรือผู้บริโภครู้สึก bind in หรือมีส่วนร่วมและเห็นความสำคัญของสินค้า


ลองดูซิครับ ขนาดตู้ถ่ายสติกเกอร์นี่ยังมีเรื่องราวบอก...ว่าสาวๆนั้นเกิดมาเพื่อที่จะเป็นฮีไร่...สาวๆสามารถแสดงออกและมีหลากหลายหน้าและเปลี่ยนแปลงหน้าตาได้ง่ายมาก...นั่นคือเหตุผลที่ว่าทำไมสาวๆถึงเป็นที่ดึงดูดและหมายปอง....อืมมมสาวๆอ่านแล้วอยากเข้าไปถ่ายสติกเกอร์ตู้นี่เลยไหม..??

Kumpol 9 Nov 2012

หลบไปชาร์ตแบตชีวิต

เสร็จศึก proposal presentation งาน Ph.D. ก็โล่งไปอีกเปราะนึง พลังงานในตัวเริ่มลดลง แบตเริ่มหรี่เลยต้อง มาชาร์ตแบตให้ชีวิตตัวเองซะหน่อย ว่าแล้วก็แพคกระเป๋า ไปสนามบินแต่คราวนี้ต้องนั่งรถไฟเข้าเมืองเอง..(ปีที่แล้วมีคนมารับเลยไม่ต้องหาข้อมูลมาก)..แต่ไม่ใช่ปัญหา life is journey...


เดินทางครั้งนี้ได้ความรู้ใหม่ว่าการจะมาต่างประเทศนี่นะ....ถ้าจะซื้อผักผลไม้นี่ลำบากหน่อยเพราะต้องเข้าช่อง declare เป็นพวก green ประมาณนั้นอันนี้เข้าใจ...ที่มาเอ๊ะใจก็ เดี๋ยวนี้ร้านขาย"ข้าวเหนียวมะม่วง"แบบพร้อมกินได้นี่เยอะจังใน สนามบินสุวรรณภูมิ ก็เลยได้ความว่า ถ้าเป็นแบบพร้อมกินได้อันนี้ไม่มีปัญหาเอาเข้าประเทศอื่นได้คร้าบบ....ก็เลยจัดไปหลายกล่องหน่อย...


ข้าวเหนียวมะม่วงนี่ก็เป็นอีกบทพิสูจน์หนึ่งว่าน้องหมาตำรวจนี่ก็..ใช้ได้สอบผ่าน...เอาจมูกดมๆชื่นชมความหอมของมะม่วงแล้วก็ไม่ว่าอะไร....เข้าใจว่าคงอยากกิน แต่เก็บอาการเพราะอยู่ในหน้าที่...ก็ต้องชื่นชมครับ

Kumpol 7 Nov 2012

Tuesday, July 24, 2012

บัฟเฟตต์-โซรอส ลงทุนถูกนิสัย ยังไงก็ชนะ

บทความน่าอ่าน เครดิต มาจากคุณ pumai จาก S2Mเขียนสรุปหนังสือ อุปนิสัยการลงทุนของ บัฟเฟตต์-โซรอส อย่างน่าสนใจ

หนังสือเล่มนี้จะกล่าวถึงความแตกต่างของนักลงทุนชั้นเซียน (คุณปู่บัฟเฟตต์กับโซรอส)กับ นักลงทุนขี้แพ้ ว่ามีอุปนิสัยในการลงทุนแตกต่างกันอย่างไร

ในที่นี้ ขอพูดถึงอุปนิสัยของเซียนละกัน เพราะว่าคงไม่มีใครในที่นี้ที่กำลังอ่านอยู่ อยากเป็นนักลงทุนขี้แพ้ แล้วอีกเหตุผลหนึ่งคือ จะได้เป็นแรงบันดาลใจให้เราปรับนิสัยการลงทุนของเราให้ทำตามแบบอย่างเซียนกันด้วยย


เรามาดูกันเลยยว่า อุปนิสัยทั้ง 23 ข้อมีอะไรบ้าง Let’s go

1.) จงรักษาเงินต้นไว้ให้ได้เสมอ ข้อนี้สำคัญที่สุด สำหรับโซรอสเขากล่าวว่า
การขาดทุนไม่ว่าจะเล็กน้อยเพียงใด ทำให้เขารู้สึกเหมือนเดินถอยหลังกลับไปสู่จุดต่ำสุดของชีวิตอีกครั้ง

2) มุ่งมั่นที่จะลดความเสี่ยง เป้าหมายของพวกเขา คือ ต้องให้แน่ใจเท่านั้นจึงจะลงทุน เค้าจะไม่ลงทุนในสิ่งที่เขาไม่รู้ ดังคำกล่าวของคุณปู่ที่ว่า “Risk comes from not knowing what you’re doing”

3) สร้างปรัชญาการลงทุนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ปรัชญาในการลงทุนของบัฟเฟตต์ คือ ประเมินคุณค่าให้ได้ และมองให้ออกว่า กิจการไหนมีลักษณะที่น่าลงทุน รู้ว่าจะซื้อจะขายตอนไหน4) พัฒนาระบบที่มีความเหมาะสมเข้ากับนิสัยของตัวเอง ในการเลือกหุ้น หาจังหวะเข้าซื้อและขา

ตัวอย่างเกณฑ์ในการลงทุนของบัฟเฟตต์

- ผมเข้าใจธุรกิจนี้หรือไม่

- ธุรกิจนี้มีสถานะทางเศรษฐกิจที่น่าดึงดูดใจหรือไม่

- สถานะทางเศรษฐกิจที่น่าดึงดูดใจนั้นมีความยั่งยืนหรือไม่

- ผู้บริหารจัดสรรเงินทุนอย่างเป็นเหตุผลหรือไม่

- ผมอยากเป็นเจ้าของธุรกิจนี้หรือไม่ หากมีทีมผู้บริหารชุดนี้

- บริษัทให้ผลตอบแทนต่อผู้เป็นเจ้าของสูงกว่าค่าเฉลี่ยหรือไม่

- ผมชอบราคานี้หรือไม่ :วัดจากกำไรที่คาดว่าบริษัทจะสามารถทำได้ในอนาคต


5) การกระจายการลงทุนเป็นเรื่องของพวกกระจิบกระจอกเท่านั้น ยิ่งคุณมีหุ้นกระจัดกระจายมากเท่าไร เราก็ยิ่งทุ่มเทกับหุ้นที่เรามีได้น้อยลงเท่านั้น

6) ให้ความสำคัญกับผลตอบแทนหลังหักภาษี วิธีที่จะทำให้เงินทวีคูณขึ้น คือ ขจัดภาระเรื่องภาษีและค่าใช้จ่ายในการทำธุรกรรมออกไปให้ได้

7) จงลงทุนในสิ่งที่คุณเข้าใจเท่านั้น บัฟเฟตต์พูดไว้ว่า สิ่งสำคัญที่สุดของขอบข่ายแห่งความชำนาญไม่ได้อยู่ที่ว่ากว้างขวางขนาดไหน แต่อยู่ที่ว่าคุณขีดวงล้อมของมันได้ชัดเจนเพียงใดต่างหาก

คนบางคนมักจะลงทุนตามที่โบรกเกอร์เชียร์ ตัวนี้ดี ตัวนั้นดี โดยที่ตัวเองก็ไม่ได้รู้เลยว่าหุ้นตัวนั้นทำอะไร แต่จริงๆแล้วเราต่างหากที่ควรจะลงทุนในสิ่งที่เราเข้าใจอย่างถ่องแท้มันก็เหมือนกับการที่คุณเข้าใจและสร้างผลตอบแทนได้ดีจากอสังหาริมทรัพย์ แต่พอเห็นว่าสินค้าโภคภัณฑ์บูม ก็เอาเงินไปลงทุนตามคนอื่นแล้วขาดทุนนั่นแหละ

จงปฏิเสธที่จะลงทุนในสิ่งที่ไม่สอดคล้องกับเกณฑ์ในการลงทุนของคุณ บัฟเฟตต์และโซรอสสร้างขอบข่ายแห่งความชำนาญของตัวเอง ด้วยการตอบคำถามเหล่านี้ คือ ฉันสนใจอะไร, ฉันรู้อะไรในตอนนี้, และ อะไรที่ฉันอยากรู้แต่ยังไม่รู้

คุณต้องตอบคำถามนี้ให้ได้ก่อน จึงจะหาเอกลักษณ์เฉพาะตัวในการลงทุนของตัวเองได้

9) จงทำวิจัยด้วยตัวเอง มองหาโอกาสในการลงทุนใหม่ๆให้สอดคล้องกับเกณฑ์ในการลงทุนของตัวเองอยู่เสมอ และเอาจริงเอาจังกับการวิจัยหาข้อมูลด้วยตัวเอง แล้วชอบที่จะฟังเฉพาะนักลงทุนหรือนักวิเคราะห์ผู้มีเหตุผลอันลึกซึ้งควรค่าแก่การนับถือ

บัฟเฟตต์ บอกว่า เคยใช้เวลามากกว่าครึ่งเดือนเพื่อนับจำนวนรถจักรที่วิ่งไปมาบนทางรถไฟในแคนซัส O_o แต่เขากลับไม่ได้ซื้อหุ้นบริษัทรถไฟ กลายเป็นว่าไปสนใจหุ้นของบริษัทที่ผลิตแก๊สโซลีนเพื่อใช้กับหัวรถจักรแทน และซื้อหุ้นของบริษัทแก๊สแทนรถไฟ ในกรณีนี้บัฟเฟตต์ลงทุนลงแรงทำภาคสนามด้วยตัวเองเลย เขาจึงลงทุนได้ด้วยความมั่นใจ และรู้ข้อมูลที่นักลงทุนคนอื่นๆนอกบริษัทไม่รู้อีกด้วย

10) จงอดทนอย่างไม่สิ้นสุด เมื่อเขายังไมเจอการลงทุนที่สอดคล้องกับเกณฑ์ของตัวเอง เขาก็มีความอดทนพอที่จะรอไปอย่างไม่มีกำหนดจนกว่าจะเจอ คุณไม่ได้เงินจากการทำโน่นทำนี่หรอกครับ คุณได้เงินจากการทำสิ่งที่ถูกต้องต่างหาก บัฟเฟตต์กล่าวในการประชุมประจำปีกับผู้ถือหุ้น

11) จงทำทันที ลงมือทันที เมื่อตัดสินใจดีแล้ว

12) อยู่กับการลงทุนที่ทำให้ได้รับชัยชนะ จนกว่าเหตุผลสมควรให้ขายที่คิดไว้ล่วงหน้าจะอุบัติขึ้น

กลยุทธ์ในการออก :


1) ออก เมื่อโดนแหกกฎ

2) ออก เมื่อเหตุการณ์ที่คาดไว้ได้เกิดขึ้นแล้ว

3) ออก เมื่อบรรลุเป้าหมายตามระบบแล้วหรือราคาไปถึงเป้าหมายแล้ว

4) ออก เมื่อระบบส่งสัญญาณมา นิยมในหมู่นักเทคนิค

5) ออก ตามกฎที่ตั้งไว้ เช่น พอราคาถึงจุดหนึ่งก็จะขาย หรือขายทันทีเมื่อขาดทุน 10 เปอร์เซ็นต์ หรือจุดที่เราตั้งไว้

6) ออก เมื่อรู้ตัวว่าได้ทำผิดพลาดไปแล้ว

13) จงทำตามระบบของคุณด้วยความศรัทธา ไม่มีการเปลี่ยนเกณฑ์การลงทุน หรือลดเป้า เพื่อปลอบใจตัวเองว่าฉันทำถูกแล้ว

14) ยอมรับความผิดพลาดและแก้ไขทันที เมื่อความผิดพลาดนั้นปรากฏชัด ความเสียหายที่เกิดขึ้นก็แค่ขาดทุนเล็กน้อย

15) เปลี่ยนความผิดพลาดเป็นประสบการณ์ ฟิชเชอร์ กล่าวว่า การทบทวนความผิดพลาด อาจให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าการระลึกถึงแต่ความสำเร็จซะอีก

16) ลงทุนลงแรง เมื่อประสบการณ์เพิ่มขึ้น ผลตอบแทนก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย ทำให้ใช้เวลาน้อยลงเพื่อทำเงินได้มากขึ้น เพราะได้ลงทุนลงแรงไปแล้ว17) ไม่เคยพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งที่คุณทำ แทบจะไม่บอกใครเลยว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอย่างไรกับการลงทุนของเขา จะบอกทำไม ในเมื่อบัฟเฟตต์รู้ตัวดีว่าตัวเองทำอะไรอยู่ ไม่จำเป็นต้องให้ใครมาช่วยยืนยันการตัดสินใจแต่อย่างใด

เช่นเดียวกับ โซรอส ที่ไ่ม่เคยเปิดเผยความเคลื่อนไหวของตัวเองให้ใครรู้ เพราะถ้าคนอื่นรู้ว่าเขาทำอะไรอยู่ก็จะแห่กันเข้าไปซื้อหุ้นตัวนั้น และราคาก็จะสูงขึ้น ทำให้ต้นทุนของเขาสูงขึ้นไปน่ะสิ18) รู้วิธีเป็นผู้นำ นักลงทุนชั้นเซียนจะแบ่งหน้าที่รับผิดชอบบางส่วนหรือทั้งหมดให้กับคนอื่น สำหรับบัฟเฟตต์แล้ว ทุกๆการลงทุน คือ การกระจายงาน เขาจะระลึกเสมอว่า เขากำลังเอาอนาคตของเงินของตัวเองไปให้คนอื่นดูแล และเขาจะมอบหมายหน้าที่นี้ให้กับคนที่เขาไว้ใจและนับถือเท่านั้น

19) จงใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของคุณ ถ้าคุณไม่รู้คุณค่าของเงิน คุณย่อมไม่รู้จักเก็บออมเงินทองที่หามาได้

การใช้เงินนั้นง่ายมากๆ ใครก็ทำได้ แต่หาเงินสิยากกว่า นี่คือเหตุผลที่ว่าทำไมการใช้ชีวิตต่ำกว่าฐานะของตัวเองจึงเป็นทัศนคติที่เป็นรากฐานของความสำเร็จของบัฟเฟตต์และโซรอส

20) ก้าวให้พ้นเรื่องเงิน นักลงทุนชั้นเซียนทำงานที่ทำอยู่ เพราะงานนั้นทำให้กระชุ่มกระชวยและเติมเต็มชีวิตของเขา ไม่ใช่ทำงานเพื่อเงิน ถ้าคุณมีแรงบันดาลใจในการทำสิ่งนั้น เงินทองที่คุณทำได้ในระหว่างไล่ล่าเป้าหมาย จะเป็นเพียงผลพลอยได้เท่านั้นเอง

21) กระบวนการ นักลงทุนชั้นเซียน จะผูกพันกับกระบวนการในการลงทุน สามารถปฏิเสธหรือล้มเลิกการลงทุนใดๆได้ง่ายๆ// สิ่งที่เหมือนกันในบรรดาที่เป็นคนสุดยอดในแนวทางของตัวเองก็คือ พวกเขาถูกผลักดันจาก กระบวนการกระทำ // การลงทุนสำหรับนักลงทุนชั้นเซียนก็เหมือนการวาดภาพของจิตรกร ซึ่งบางคนอาจชอบวาดภาพด้วยสีน้ำมัน สิ่งที่เขารักคือ การ วาดภาพด้วยสีน้ำมัน แต่เข้าไม่ได้รัก สีน้ำมัน

22) หายใจเข้า-ออก เป็นการลงทุนตลอดเวลาเรื่องเล่าของบัฟเฟตต์ : เย็นวันหนึ่ง บัฟเฟตต์และซูซาน ไปกินอาหารเย็นที่บ้านเพื่อน ที่เพิ่งจะกลับมาจากอียิปต์ หลังจากทานข้าวเสร็จ เพื่อนก็เตรียมสไลด์รูปภาพไว้ให้ดู แต่บัฟเฟตต์กลับบอกว่า เอางี้ไหม คุณเปิดสไลด์ให้ซูซานดู ส่วนผมขอเข้าไปในห้องนอนของคุณ เพื่ออ่านรายงานประจำปีแล้วกัน

23) เอาเงินของคุณใส่ลงไปด้วย ทั้งบัฟเฟตต์และโซรอส ต่างก็เอาเงินใส่ลงไปในการลงทุนที่ตัวเองบริหารจัดการอยู่ ด้วยเหตุผลเดียวกับที่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทุกคน ต่างก็มีสินทรัพย์ผูกติดอยู่ในธุรกิจที่ตัวเองทำ การลงทุนของพวกเขา คือ ลงทุนในสิ่งที่ตัวเองรู้ว่าจะทำเงินได้ และนั่นคือ สิ่งที่เขารักนั่นเอง

Source: http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=33808

Thursday, May 31, 2012

สรุปความจากหนังสือการลงทุนของ ดร.นิเวศน์

หัวข้อน่าสนใจในการลงทุนสรุปความโดย Artemis แห่ง forum.sarut-homesite
วันนี้ว่างๆเลยค้นหนังสือที่เคยอ่านของดร.นิเวศน์ มาเปิดดูเลยตัดสินใจนำเอาหลักการและแนวคิดของดร.มาเล่าสู่กันฟัง โดยเนื้อหาทั้งหมดจะนำมาจากหนังสือที่ดร.เขียน ซึ่งนำมาสรุปสำหรับผู้ที่ยังไม่เคยอ่าน จะนำมาเฉพาะหัวข้อที่คิดว่าน่าสนใจ หยิบยกมาแค่บางส่วน
หนังสือ เล่นหุ้นในปีทอง
1.บัญญัติ 10 ประการ ของการเล่นหุ้นแบบ VI
  • ศึกษาข้อมูลหุ้นให้ดีก่อนตัดสินใจซื้อหุ้น อย่าใช้อารมณ์ในการซื้อหุ้น อย่าโลภ
  • อย่าสนใจข่าวลือ หรือ หุ้นเด็ด
  • ให้ความสำคัญกับตัวกิจการหรือตัวหุ้นมากกว่าสภาพตลาดหรือเศรษฐกิจโดยทั่วไป อย่าให้ภาพของตลาดหรือเศรษฐกิจมาหันเหการตัดสินใจซื้อหุ้นของเรา
  • หุ้นมักจะดูแย่กว่าที่คิดในช่วงที่ตลาดตกต่ำถึงพื้นในช่วงตลาดหมี และดูดีกว่าที่คิดใรช่วงที่ตลาดวิ่งถึงจุดสูงสุดในช่วงตลาดกระทิง (จงมีความกล้าหาญที่จะซื้อเมื่อทุกอย่างดูเลวร้าย และขายเมื่อทุกอย่างดูดีจนไม่น่าเชื่อ)
  • จำไว้้ว่า เป็นเรื่องยากที่เราจะสามารถซื้อหุ้นในราคาพื้นฐานและขายหุ้นได้ที่จุดสูงสุด ดังนั้นอย่าคาดหวังว่าเมื่อซื้อหุ้นแล้วราคาจะต้องขึ้นทันที หรือขายหุ้นแล้วก็หวังว่ามันจะลง ถึงแม้ว่าเราจะเชื่อม่ันกับการวิเคราะห์มูลค่าของเรา
  • ถ้ามั่นใจว่าบริษัทที่เราลงทุนมีพื้นฐานที่แข็งแกร่งและมีอนาคตในการเติบโตที่ดีมาก อย่าขายเพียงเพราะว่าราคาหุ้นอาจจะดูเหมือนว่าสูงเกินไปหรือหุ้นวิ่งขึ้นมาเร็วเกินไปชั่วคราว
  • อย่า หลงรักหุ้น จน ตาบอด เพราะมันจะทำให้เราไม่สามารถวิเคราะ์กิจการได้อย่างเป็นกลางและไม่มีความลำเอียง
  • อย่าสนใจว่าหุ้นเคยอยู่ที่จุดไหนมาก่อน จงสนใจว่าหุ้นจะไปที่ไหน เช่น กิจการอาจเคยกำไร 100 ล้านบาท ราคาหุ้นอาจเคยอยู่ที่ 10 บาทต่อหุ้น แต่ขณะนี้กำไรเหลือเพียง 10 ล้านบาท ราคาหุ้นตกลงมาเหลือ 2 บาทต่อหุ้น อย่าไปคิดว่ากิจการและหุ้นจะต้องกลับไปที่เดิมหรือใกล้ๆกับที่เดิม
  • เน้นการลงทุนในหุ้นคุณภาพสูง
  • ใช้เวลากับการลงทุน ตรวจสอบกิจการและหุ้นอย่างสม่ำเสมอ เพราะทุกสิ่งเปล่ียนแปลงไป เราต้องปรับการลงทุนเพื่อให้สะท้อนกับการเปลี่ยนแปลง

2.ชีวิตชีวาของหุ้น

     ทุกครั้งที่เราซื้อหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ เราต้องคิดเสมอว่าเราลงทุนในธุรกิจ บางคนอาจจะสงสัยว่า อ่าว!หุ้น กับธุรกิจก็เหมือนกันนะ แต่จริงๆแล้วไม่ใช่ หุ้น มีราคาขึ้นๆ ลงๆทุกวัน แต่ธุรกิจนั้นเป็นของจริงที่มีโรงงานหรือสำนักงาน มีพนักงาน มีระบบการบริหารและข้อมูล มีแหล่งป้อนวัตถุดิบ มีช่องทางการจำหน่ายสินค้าให้กับ ลูกค้า ซึ่งบางครั้งหรือบ่อยคร้ังอาจจะเป็นตัวเราเองก็ได้ที่เป็นลูกค้าของบริษัทที่เราซื้อหุ้น โดยบางครั้งเราอาจจะทดสอบว่าหุ้นตัวนั้นมีความน่าสนใจมากน้อยแค่ไหนจากการสัมผัสกับกิจการ
  • ปัจจัยหนึ่งในการเลือกหุ้นก็คือ ธุรกิจนั้นเรา ภูมิใจ ที่จะได้เป็นเจ้าของหรือไม่
  • ธุรกิจนั้น เป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่กำลังนิยมใช้มากหรือไม่ มันเป็นเทรนด์ หรือเป็น แฟชั่น หรือไม่ ถ้าเป็นสินค้าที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยได้ใช้แล้ว กำลังเปลี่ยนพฤติกรรมไปใช้อย่างอื่น แบบนี้ก็ต้องระวังอนาคตอุตสาหกรรมอาจจะกำลังตกต่ำลง
  • กิจการมีการเติบโตต่อเนื่อง เห็นได้จากการเปิดร้านสาขาใหม่ๆเพื่มขึ้นตลอดทั้งในทำเลใกล้เคียงและทำเลใหม่ๆที่ยังไม่เคยเปิดมาก่อน
  • เมื่อใช้ผลิตภัณฑ์หรือบริการแล้วรู้สึกโดนมากรู้สึกประทับใจ และยิ่งลูกค้าอื่นก็พูดคล้ายๆกันว่าประทับใจ จะสามารถผูกใจให้ลูกค้ามีความภักดีต่อสินค้าหรือบริการ ส่งผลต่อการดำเนินงานของบริษัทได้
  • รู้สึกว่าบริษัทมีความมั่นคงมาก
  • พนักงานของบริษัทดูดีเช่น ขยันและเอาใจใส่กว่าบริษัทคู่แข่ง มีความภูมิใจที่ได้ทำงานบริษัทนี้
  • กิจการมีการเปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด เช่น มีบริการใหม่ๆมาเสนอต่อลูกค้าตลอด สินค้ายังคงมีคุณภาพ โดยเราสามารถสังเกตได้ทุกครั้งที่เราซื้อสินค้าหรือใช้บริการ
หนังสือ SUPER STOCK มหัศจรรย์ของหุ้น VI
3. ลดความเสี่ยงแบบ VI

     
การลงทุนในหุ้น มีความเสี่ยงค่อนข้างมากเมื่อเทียบกับการลงทุนในพันธบัตรหรือกองทุนต่างๆ ดังนั้น เพื่อความปลอดภัยเราควรจะต้องลดความเสี่ยงให้เหลือน้อยลงเท่าที่จะทำได้ ต่อไปนี้ คือ เกณฑ์การลดความเสี่ยงง่ายๆ

          1)
รู้ว่าเรากำลังทำอะไรอยู่ นี่เป็นหลักการสำคัญ
         
          2)
กระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม ไม่ถือหุ้นจำนวนมากหรือน้อยตัวเกินไป ควรจะถืออยู่ระหว่าง 5-10 ตัว ถ้าถือหุ้นน้อยตัวเกินไป เช่น 1-2 ตัว เป็นความเสี่ยงที่อาจจะเกิดความผิดพลาดได้ และการมีหุ้นมากตัวเกินไปก็มีความเสี่ยงในแง่ที่ว่า เราไม่สามารถติดตามได้ ซึ่งก็คือความเสี่ยงที่เกิดจากการไม่รู้

          3)
พยายามมองยาว คือวิเคราะห์ไปในอนาคต 3-5 ปี และวางแผนว่าจะลงทุนยาวตามกันไป เพราะว่าในระยะยาวราคาหุ้นจะปรับตัวไปตามกำไรของบริษัทเสมอ และถ้าเรามั่นใจในกำไรระยะยาวของบริษัท เราก็จะไม่ค่อยเสี่ยง ตรงกันข้ามในระยะสั้น หุ้นมักจะผันผวนไปตามภาวะตลาดและการเงินซึ่งคาดการณ์ยาก

          4)
เลือกบริษัทที่มีผลการดำเนินงานสม่ำเสมอทั้งยอดขายและกำไร กิจการเหล่านี้มักจะ คาดการณ์ได้ง่ายและไม่ค่อยผิดพลาดมากนัก จึงมักจะสามารถทนทานต่อความผันผวนของภาวะแวดล้อมได้มากกว่าหุ้นของบริษัทที่มีผลการดำเนินงานที่ไม่แน่นอน

          5)
เลือกหุ้นที่ให้ปันผลสม่ำเสมอและในอัตราที่เหมาะสม ประมาณปีละ 3-4 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไปเมื่อเทียบกับราคาหุ้น เพราะปันผลที่สม่ำเสมอนั้นเป็นฐานที่สำคัญ ที่จะช่วยให้ราคาหุ้นไม่ตกลงมากเวลาตลาดหุ้นมีปัญหา

          6)
เลือกบริษัทที่มีเงินสดมากและมีหนี้เงินกู้น้อยหรือไม่มีเลย เพราะโอกาสที่กิจการพวกนี้จะเจ๊งมีน้อยมาก และมักจ่ายปันผลดี ช่วยให้หุ้นมีเสถียรภาพสูงกว่าหุ้นที่มีหนี้มหาศาล

          7)
เมื่อซื้อหุ้นแล้ว ถ้าจะลดความเสี่ยง เราต้องติดตามบริษัทตลอดเวลา ทั้งตัวเลขผลการดำเนินงานและข่าวสารต่างๆของบริษัท ถ้าทำได้ พยายามสัมผัสกับสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ของบริษัทให้มากที่สุด กลับไปดูที่ร้าน กลับไปตรวจสอบความนิยม อย่าปล่อยให้ราคาหุ้นหรือตลาดหุ้นเป็นตัวกำหนดชี้อารมณ์และความคิดของเรา

          8)
ติดตามข่าวคราวทางเศรษฐกิจ การเงิน และภาวะตลาดหุ้นบ้าง

          9)
หลีกเลี่ยงการกู้เงินหรือใช้มาร์จินในการลงทุน เพราะความเส่่ียงสูง โดยเฉพาะในช่วงสั้นที่หุ้นอาจจะมีความผันผวนเนื่องจากปัจจัยต่างๆที่ไม่อาจคาดคิดได้ ต้องคิดเสมอว่า ถ้าสิ่งที่เลวร้ายที่สุดเกิดขึ้นเราจะเป็นอย่างไร ดังนั้นเวลาลงทุนถ้าเรากู้หรือใช้มาร์จิ้นซื้อหุ้น เราต้องรู้ว่าเราจะรับได้แค่ไหน ถ้าเกิดวิกฤตหุ้นตัวนั้นมีค่าลดลงมากหรือพอร์ตหุ้นทั้งหมดมีค่าลดลงมาก แน่นอน โอกาสที่สิ่งเลวร้ายที่สุดจะเกิดขึ้นมีน้อยมากแต่เราจะเสี่ยงไปทำไม
ตลาดหุ้น คือ ที่ที่อันตรายมากสำหรับคนที่ไม่ชอบทำการบ้าน คนโง่ และคนที่ชอบรวยทางลัด - Jessy J. Livermore”

4.
กฎของสงคราม

     
นักลงทุนหุ้นคุณค่า ให้ความสำคัญอย่างมากกับการวิเคราะห์กิจการโดยเฉพาะอย่างยิ่งในด้านการตลาดของบริษัท ซึ่งก็คือ ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทเมื่อเทียบกับคู่แข่งในระยะยาว การแข่งขัน หรือสงครามการตลาดระหว่างบริษัทกับคู่ต่อสู้นั้น เป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราจะต้องวิเคราะห์พิจารณา เพราะถ้าวิเคราะห์ได้ว่าใครจะเป็นผู้ชนะในสงคราม เราก็จะรู้ว่าบริษัทไหนจะรุ่งหรือร่วง ต่อไปนี้คือกฎสำคัญที่สุดบางข้อที่นักลงทุนควรรู้

     
กฎข้อแรก ฝ่ายที่มีทรัพยากรมากกว่าจะเป็นผู้ชนะ ในสงครามการตลาด บริษัทที่ใหญ่กว่ามาก มีงบโฆษณามหาศาล มีพนักงานการตลาดมากกว่าคู่แข่งหลายเท่า รบอย่างไรก็ชนะทุกที ถึงแม้ว่าบางช่วงบางตอน เราอาจจะเห็นบริษัทเล็กได้ชัยชนะในระยะสั้นๆแต่จะให้ได้ชัยชนะถึงขั้นเข้าไปแทนที่บริษัทใหญ่นั้น เป็นเรื่องที่ยากมาก เรื่องคุณภาพของคนหรือคุณภาพของสินค้า อาจทำให้เราหลงผิดได้ เราอาจจะคิดว่าฝ่ายหนึ่งที่ีมีคนเหนือกว่า หรือมีสินค้าที่ดีเด่นกว่า ฝ่ายนั้นอาจจะเป็นฝ่ายนะได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคปัจจุบันที่เรามักเน้นว่าปริมาณไม่สำคัญเท่าคุณภาพแต่จากการวิจัยพบว่า ต่อให้สินค้าจะดีเลิศกว่าคู่แข่งแค่ไหน แต่มันเป็นรายเล็ก มีทรัพยากรน้อยสุด สุดท้ายก็ไปไม่รอด ผู้บริโภคก็อาจจะคิดว่าถ้าดีจริงก็คงจะใหญ่โตไปแล้วดังนั้น เขาก็อาจจะไม่เลือกซื้อผลิตภัณฑ์ที่ดีเลิศนั้น
 
     
กฎข้อสอง ฝ่ายที่ตั้งรับย่อมแข็งแกร่งกว่าฝ่ายรุกรบ ในการสงครามนั้น ฝ่ายที่ตั้งรับมักจะยึกชัยภูมิที่อยู่สูงหรือมีสนามเพาะเป็นแนวป้องกันข้าศึก เวลารบจะได้เปรียบมากเพราะเวลาศัตรูบุกเข้ามา โอกาสที่จะถูกยิงนั้นสูงกว่าเนื่องจากไม่มีที่กำบัง ในสงครามการตลาดเองนั้น ผู้นำที่ยึดชัยภูมิ’(ไม่ใช่จังหวัดแถบอีสานนะฮะ) การตลาดที่โดดเด่นเอาไว้ได้แล้วก็อยู่ในฐานะที่ได้เปรียบมหาศาล ต่อให้คู่แข่งจะพยายามโจมตีอย่างไรก็ยากที่จะเอาชนะได้ เพราะคู่แข่งต้องใช้ทรัพยากรมาก อย่างเช่น มองง่ายๆถ้ามีคู่แข่งรายใหญ่มากมาจากต่างประเทศจะเข้ามาแข่งกับบริษัท CPF ซึ่งเป็นผู้นำที่โดดเด่นทางด้านการผลิตหมู ไก่ ส่งออก และมีส่วนแบ่งการตลาดที่สูงเว่อร์ๆในประเทศไทย ยากที่ใครจะเอาชนะได้รวมทั้งรู้สภาพแวดล้อมการตลาดในประเทศไทยเป็นอย่างดี เช่นนี้แล้วรายใหญ่จากต่างประเทศก็ตายสถานเดียว เพราะในต่างประเทศเขาอาจจะใหญ่และยึดชัยภูมิที่ดีไว้แล้ว แต่ในประเทศไทยเขาเป็นฝ่ายรุกและรายเล็ก ดังนั้นจะเกิดข้อเสียเปรียบ

     
กฎข้อสาม ศึกษาชัยภูมิของข้าศึก แล้วเราก็จะรู้ถึงการวางแผนรวมทั้งอุปนิสัยของเขา จากนั้นเราก็จะสามารถตอบโต้ได้ตามความเหมาะสม ทั้งนี้ชัยภูมิทางการตลาดนั้น อยู่ในสมองหรือจิตใจของผู้บริโภคไม่ได้อยู่ที่หน้าร้านหรือเคาน์เตอร์ขายสินค้า สงครามการตลาดเป็นสงครามที่เกิดขึ้นในสมอง เช่น ชัยภูมิของชาเขียวอาจจะเป็นโออิชิ แต่ตอนนี้อิชิตันเริ่มมาแล้ววว หรือชัยภูมิของรถยนต์ที่เน้นการใช้งานอาจจะเป็นโตโยต้า ดังนั้น เวลาเราวิเคราะห์การตลาดของบริษัท เราจะต้องรู้ว่าใครอยู่ใน ชัยภูมิใด ประเด็นสำคัญคือ เราอยากได้ยริษัทที่อยู่ในชัยภูมิที่ดีเลิศ 5. การลงทุนของดร.นิเวศน์
          เมื่อดร.ได้พบกับสินค้าหรือบริการที่น่าสนใจ จึงค่อยหาข้อมูลเกี่ยวกับการลงทุน โดยจะพิจารณาจากทั้งปัจจัยทางด้านคุณภาพและปัจจัยทางด้านราคา

     ปัจจัยทางด้านคุณภาพ ดูจาก
              
  • รูปแบบการทำธุรกิจ เป็นกระบวนการในการทำธุรกิจทุกอย่าง ตั้งแต่เรื่องของผลิตภัณฑ์ การตลาด ช่องทางการจำหน่่าย การบริการหลังการขาย บุคลากร รวมไปถึงรายละเอียดว่าผลิตภัณฑ์จะเป็นอย่างไร คุณภาพ ราคาระดับไหน ง่ายๆคือ ทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวสินค้าหรือบริการ
  • ความได้เปรียบทางการแข่งขันที่ยั่งยืน โดยที่บริษัทอาจจะมี
                   1) สินทรัพย์ที่จับต้องไม่ได้ เช่น บริษัทมียี่ห้อที่โดดเด่นที่ลูกค้าต้องการ เป็นยี่ห้อที่ลูกค้าเลือกที่จะซื้อมากกว่ายี่ห้ออื่น หรือการมีลิขสิทธิ์ สัมปทาน
                    2) สินค้าหรือบริการของบริษัท อาจจะมีลักษณะที่ทำให้ลูกค้ามีความลำบากที่จะเลิกใช้หรือเปลี่ยนผู้ให้บริการ
                    3) บริษัทมีเครือข่ายลูกค้าที่ใหญ่กว่าคู่แข่งมาก
                    4) บริษัทมีความได้เปรียบทางด้านต้นทุนการผลิต การให้บริการที่เกิดกระบวนการผลิตหรือให้บริการ ต้นทุนที่ต่ำกว่าเนื่องจากทำเลที่ตั้ง,ขนาดของธุรกิ
  • ผลการดำเนินงานหรือกำไรของบริษัท บริษัทมีกำไรสม่ำเสมอ มั่นคง ไม่ถูกกระทบโดยปัจจัยที่คาดการณ์ไม่ได้มากนัก
  • ผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) ถ้า ROE ของบริษัทที่ผ่านมา ส่วนใหญ่อยู่ในหลักประมาณตั้งแต่ 15 เปอร์เซ็นต์ขึ้นไป ก็ถือว่าอยู่ในอัตราใช้ได้ แต่เวลาดู ROE ควรดูด้วยว่าบริษัทไม่ได้กู้เงินมากที่ทำให้บางครั้ง ROE สูงแต่จริงๆแล้วเป็นการเอาเงินคนอื่นมาใช้              
  • ฐานะการเงินหรือหนี้สิน ชอบบริษัทที่มีหนี้น้อย เราไม่ชอบบริษัทที่พยายามโตเร็วเกินความจำเป็นโดยการก่อหนี้มากเกินอัตราส่วนที่ควรจะเป็น              
  • ความสามารถในการสร้างกระแสเงินสด นั่นคือ ธุรกิจที่มักไม่ต้องลงทุนมากในการที่จะรักษายอดขายหรือขยายกิจการต่อไป เช่น ธุรกิจขายปลีก เวลาขายมักรับเงินสด แต่จ่ายค่าสินค้ากับsupplier เป็นเงินเชื่อ หุ้นของบริษัทที่มีเงินสดมากและมีกระแสเงินสดดี จะสามารถรักษาราคาดีกว่าบริษัทที่มีหนี้สูงหรือบริษัทที่มีสภาพคล่องทางการเงินที่ต่ำ              
  • ผู้บริหาร มีความโปร่งใส เปิดเผย หรือเปิดตัวต่อสาธารณชน มีความซื่อสัตย์สุจริต ทำอะไรมีเหตุมีผล คำนึงถึงผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น และจัดสรรกำไรอย่างเหมาะสม

     ปัจจัยทางด้านราคา               
  • PE Ratio โดยทั่วไปแล้วหุ้นที่น่าสนใจเข้าซื้อควรจะมีค่า PE ที่ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยของหุ้นทั้งตลาด และควรจะต่ำกว่าค่า PE ในอดีตของตัวมันเอง แต่การซื้อหุ้นที่มี PE ต่ำก็ต้องดูด้วย เพราะบางครั้งอาจมีค่า PE ต่ำด้วยเหตุผลที่เลวร้าย เช่น ความสามารถในการแข่งขันของบริษัทลดลง หรือสัมปทานของบริษัทกำลังจะหมดอายุ เป็นต้น ทั้งนี้ ควรจะหลีกเลี่ยง             
  • PB Ratio             
  • อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล             
  • มูลค่าตลาดของหุ้น หุ้นที่ดร.เห็นว่าน่าสนใจที่สุดมักจะอยู่ในกลุ่ม หุ้นขนาดเล็ก โดยเฉพาะบริษัทที่เป็นผู้นำในอุตสาหกรรมที่กำลังเติบโต หุ้นเหล่านี้ถ้าเติบโตถึงจุดที่กลายเป็นหุ้นขนาดกลางก็จะสามารถดึงดูดนักลงทุนบางกลุ่มเข้ามาได้ และนี่จะเป็นจุดที่สามารถขับดันให้ราคาหุ้นวิ่งสูงขึ้นไปได้มาก
Source: Artemis by forum.sarut-homesite.net

25 คำคม จาก 'ขงเบ้ง'


1. ถ้าคุณคิดจะเป็นใหญ่ คุณก็จะได้เป็นใหญ่ ถ้าคุณคิดอยากเป็นอะไรคุณก็จะได้เป็นสิ่งนั้น

2.
เพราะแสวงหามิใช่เพราะรอคอย เพราะเชี่ยวชาญมิใช่เพราะโอกาส เพราะสามารถมิใช่เพราะโชคช่วยดังนี้แล้ว "ลิขิตฟ้าหรือจะสู้มานะตน"

3.
นกทำรังให้ดูไม้ ข้าเลือกนายให้ดูน้ำใจ

4.
ผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือ ผู้ที่ทำตนให้เล็กที่สุด

5.
ผู้ที่เล็กที่สุดก็จะกลายเป็นผู้ที่ใหญ่ที่สุด

6.
ผู้ที่มีเกียรติ คือ ผู้ที่ให้เกียรติผู้อื่น

7.
ถ้าสติไม่มา ปัญญาก็ไม่มี

8.
ไม้คดใช้ทำขอเหล็กงอใช้ทำเคียว แต่ คนคดเคี้ยวใช้ทำอะไรไม่ได้เลย

9.
เล่นหมากรุก อย่าเอาแต่บุกอย่างเดียว เดินหมากรุกยังต้องคิดเดินหมากชีวิต จะไม่คิดได้อย่างไร

10.
เมื่อใครสักคนหนึ่ง ทำผิด ท่านอย่าเพิ่งตำหนิหรือต่อว่าเขาเพราะถ้าท่านเป็นเขา และตกอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับเขาท่านอาจจะตัดสินใจทำเช่นเดียวกับเขาก็ได้
11. การบริหารคือการทำงานให้สำเร็จโดยอาศัยมือผู้อื่น

12.
ผู้ปกครองระดับธรรมดา ใช้ความสารมารถของตนอย่างเต็มที่

13.
ผู้ปกครองระดับกลาง ใช้กำลังของคนอื่นอย่างเต็มที่

14.
ผู้ปกครองระดับสูง ใช้ปัญญาของคนอื่นอย่างเต็มที่

15.
อ่านคนออก บอกคนได้ ใช้คนเป็น
16. เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ใช่ หรือ อาจจะ" เขามีความหมายว่า "อาจจะ"

17.
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "อาจจะ" เขามีความหมายว่า "ไม่"

18.
เมื่อนักการฑูตพูดว่า "ไม่" เขาไม่ใช่นักการฑูตเพราะนักการฑูตที่ดีจะไม่ปฏิเสธใคร

19.
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ไม่" หล่อนมีความหมายว่า "อาจจะ"

20.
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "อาจจะ" หล่อนมีความหมายว่า "ใช่ หรือ ได้"

21.
เมื่อสุภาพสตรีพูดว่า "ใช่ หรือ ได้" หล่อนไม่ใช่สุภาพสตรี.

22.
สุภาพสตรีจะไม่ตอบรับใครง่าย ๆ

23.
คิดทำการใหญ่ อย่าสนใจเรื่องเล็กน้อย

24.
ตาสามารถมองเห็นสิ่งที่ไกลได้ แต่ไม่สามารถ มองเห็นคิ้วของตน

25.
คนส่วนใหญ่ใส่ใจกับผลได้ระยะสั้นเท่านั้น แต่คนฉลาดอย่างแท้จริงจะมองไปยังอนาคต
Source: forum.sarut-homesite.net

Tuesday, May 29, 2012

Curse of knowledge โดย ธนา เธียรอัจฉริยะ

เมื่อไม่นานมานี้ มีคนมาสัมภาษณ์ผมเพื่อลงนิตยสารเล่มหนึ่ง พอเขารู้ว่าผมทำงานการเงินมาเกือบสิบปีก่อนมาทำงานด้านการตลาด  เขาก็ถามถึงความแตกต่างของ การทำงานทั้งสองด้าน  ในระหว่างที่ตอบคำถาม ผมก็คิดย้อนไปถึงประสบการณ์ที่ทำงานด้านการเงิน โดยมองจากตัวผมเองในปัจจุบัน...
งานด้านการเงินเป็นศาสตร์เฉพาะทางอยู่พอสมควร  ศัพท์แสงต่างๆ ที่ใช้อยู่ในวงการการเงินก็เป็นอะไรที่คนนอกเข้าใจได้ยาก คำต่างๆ เช่น หุ้นกู้  ตลาดทุน  derivatives, futures บีอี ฯลฯ เป็นคำที่คนในวงการคุ้นเคยเป็นอย่างดี แต่สำหรับคนภายนอกแล้วเป็นเรื่องที่ยากมากๆ ที่จะทำความเข้าใจ
ไม่ต้องอื่นไกลเอาแค่ เรื่องการซื้อกองทุน RMF หรือ LTF เพื่อประหยัดภาษีประจำปี พวกน้องๆ ผมที่ไม่ได้อยู่ในวงการการเงิน พอถึงเวลาต้องซื้อก็จะตกใจ เรียกผิดเรียกถูกเป็น RTF บ้าง LMF บ้าง ไม่รู้ว่ามันต่างกันยังไง ไม่ว่าคนวงการการเงินเขาจะให้ข้อมูลเท่าไหร่ พวกน้องๆ ผมก็จะตกใจเป็นประจำทุกปีและไม่พยายามทำความเข้าใจ ในที่สุดก็จะรอวันสุดท้าย แล้วก็ฝากๆ กันเอาโดยไปธนาคารที่คุ้นเคย ซื้อไปแล้วยังไม่รู้ว่าตัวเองซื้ออะไรไปเลยด้วยซ้ำ
เพื่อนๆ ผมในวงการการเงินก็มักจะบ่นๆว่า ทำไมเรื่องง่ายๆแค่นี้ คนทั่วไปถึงไม่พยายามเข้าใจเอาซะเลย มีครั้งหนึ่ง ผมถูกเพื่อนผมเชิญไปช่วยให้คำปรึกษาเรื่องการสื่อสารการตลาด
พอนั่งยังไม่ทันก้นหายร้อน เพื่อนผมก็ใส่ด้วยข้อมูลแบบไม่หายใจหายคอ จับใจความได้ว่า อเบอร์ดีน เนี่ยจริงๆ แล้ว Yield ไม่ได้สูงกว่ากองทุนเขานะ แต่เป็นเพราะช่วงนั้นมีเหตุการณ์อะไรบางอย่างทำให้การเปรียบเทียบมันเบี่ยงเบนไป แล้วเขาก็ใส่อเบอร์ดีนเป็นชุดๆ ผมต้องรอเขาหยุดพูด แล้วค่อยๆ ถามอย่างช้าๆ ว่า อเบอร์ดีน มันคืออะไรเหรอเพราะผมไม่ได้อยู่วงการการเงินนาน ไม่รู้ว่ามีกองทุนชื่ออเบอร์ดีนด้วย ไม่ได้สนใจด้วยว่าอเบอร์ดีนเก่งยังไง ไม่เคยรู้จัก รู้แค่ว่าอเบอร์ดีนเป็นชื่อ ทีมฟุตบอลในสกอตแลนด์เท่านั้น กว่าจะรู้เรื่องกันได้ ก็ต้องอธิบายกันซักพักใหญ่
ความรู้เฉพาะที่วงการการเงินรู้และแลกเปลี่ยนกันภายในวงการ และทำให้คนนอก เอ๋อๆ เวลาฟังพวกการเงินคุยกัน และพวกการเงินก็มักจะบ่นๆ ว่าทำยังไงก็สื่อสารให้คนนอกวงการฟังไม่ได้ซะที
ทำให้ผมนึกถึงเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านจากหนังสือฝรั่งเล่มหนึ่ง เป็นการทดลองของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เขาเรียกการทดลองนี้ว่า Curse of knowledge ในการทดลองนี้เขาแบ่งคนเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกเรียกว่าผู้เคาะ (Tapper) อีกกลุ่มเรียกว่า ผู้ฟัง (Listener) ผู้เคาะจะได้รายชื่อเพลงง่ายๆ 25 เพลง เช่นพวกเพลง happy birthday หรือ jingle bell เขาให้ผู้เคาะเลือกเพลงในหัวหนึ่งเพลง แล้วเคาะโต๊ะตามจังหวะเพลงนั้น แล้วให้ผู้ฟังทายว่าเป็นเพลงอะไร
ผู้ทดลองให้ทดลอง 120 ครั้ง ปรากฏว่า มีแค่ 3 ครั้งที่ผู้ฟังตอบถูก หรือแค่ 2.5% แต่ที่น่าสนใจก็คือ หลังจากผู้เคาะเคาะเสร็จ ก่อนที่ผู้ฟังจะทาย ผู้ทดลองให้ผู้เคาะทายว่าผู้ฟังจะทายถูกหรือไม่ ปรากฏว่าผู้เคาะคิดว่าผู้ฟังจะทายถูกถึง 50% ผู้เคาะคิดว่าโอกาสจะทายถูก 50% แต่ผลจริงๆ แล้วผู้ฟังทายถูกแค่ 2.5% ทำไมถึงห่างขนาดนั้น ??
เป็นเพราะว่าตอนที่ผู้เคาะ เคาะโต๊ะ ในหัวของคนเคาะมีเสียงเพลงที่เขาเลือกก้องอยู่  แต่ในขณะเดียวกัน ผู้ฟังได้ยินแต่เสียงเคาะโต๊ะ ก๊อกแก๊กๆ ไม่ได้มีแนวทางอะไรเป็นเรื่องเป็นราว  (ลองเล่นดูได้นะครับ)
ระหว่างการทดลอง สีหน้าผู้เคาะก็ออกจะรำคาญนิดๆ ว่าเพลงง่ายขนาดนี้ ทำไมผู้ฟังถึงเดาไม่ออก เคาะไปก็โมโหไป ปัญหาก็คือ ผู้เคาะได้รับชุดข้อมูลชื่อเพลงไป พอมีข้อมูลบางอย่างแล้ว  เป็นการยากมากๆ ที่จะเข้าใจคนที่ไม่มีข้อมูลว่าเขารู้สึกยังไง การที่มีข้อมูล ความรู้  ทำให้การสื่อสาร หาคนที่ไม่รู้เป็นไปได้ยากลำบากมากขึ้นมาก สิ่งนี้เป็นสิ่งที่เรียกว่า “Curse of knowledge”
ไม่เฉพาะวงการการเงินที่เจอเรื่อง curse of knowledge นะครับ ลองคิดถึงอาจารย์ กับ ลูกศิษย์   คิดถึงหัวหน้างานที่มีประสบการณ์ยาวนาน กับ ลูกน้องที่เพิ่งเข้ามาใหม่ หรือฝ่าย IT ที่พยายามจะสื่อสาร IT  policy ในองค์กรดูสิครับ
องค์ความรู้เฉพาะที่สะสมมา หรือ ประสบการณ์ที่มีมากๆ ในหลายๆครั้ง ก็เป็นอุปสรรคที่ทำให้เราไม่สามารถสื่อสารกับคนหมู่มาก หรือคนที่เราอยากจะสื่อสารได้ วิธีที่ผมใช้บ่อยๆในการลดช่องว่างเรื่องตรงนี้ก็คือการพาน้องๆ ในสายวิชาชีพของเขาแล้วมีปัญหาในการสื่อสารให้ลูกค้าหรือคนหมู่มากเข้าใจออกไปเดิน เดินไปฟังชาวบ้านร้านตลาด แทนที่จะเถียงกันที่ออฟฟิศ ไปเดินเจอลูกค้าตัวเป็นๆ ไปลองอธิบายให้เขาเข้าใจให้ได้ อดทน ใจเย็น และพยายาม การเดินออกไปเจอลูกค้า แล้วไป ฟังนั้น เป็นวิธีแก้ปัญหา curse of knowledge ที่ดีที่สุด เพราะทำให้เกิดการยอมรับถึงความรู้ มากไปจนสื่อสารไม่ได้
เมื่อต้องเจอกับลูกค้าตัวเป็นๆ และ การที่ต้องออกไปนอกสถานที่ ที่ตัวเองคุ้นเคย ไปอยู่ในวงที่ไม่ได้พูดภาษาเดียวกับเรา ก็ทำให้ความมั่นใจจนเป็นอีโก้กลายๆ ลดลง และเปิดใจกับคนที่อยู่นอกวงมากขึ้น รู้ว่าตัวเองยังไม่รู้อะไรบ้าง ไม่รู้ว่าจะสื่อสารยังไง ไม่รู้ว่าคนที่ไม่รู้คิดยังไง อาจจะเป็นความรู้ที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้ที่รู้มากๆ ก็ได้นะครับ.
Source: ธนา เธียรอัจฉริยะ thairath.co.th.content/life/264051