Wednesday, August 31, 2011

หุ้นขึ้นแล้ว Volume หาย แปลว่าอะไร..??

ช่วงวันสองวันนี้เห็นปรากฏการณ์อย่างนึงที่….ถ้าใครสังเกตุดีๆจะเห็นว่า มันผิดปกติวิสัยของ ตลาดหุ้น นั่นคือ…. หุ้นขึ้นมาดีๆๆ บวกตั้งเยอะแล้วทำไม…?? ปริมาณซื้อขายมันน้อยจัง มันหายไปไหนหมด..? นั่นก็คือหุ้นขึ้น Volume หายนั่งเองทำไมมันเป็นอย่างนั้นมาดูกัน,…!!
เรื่องของ "วอลุ่ม" เป็นสิ่งสำคัญมากในตลาดหุ้น..ถามว่าทำไมหุหุ..ง่ายมากคร้าบไม่ว่าหุ้นจะพื้นฐานดีแค่ไหนผลประกอบการดีเลิศยังไงถ้า Volume ไม่เข้าราคาก็ไม่มีทางขยับได้ยิ่งเป็นหุ้นเล่นกันในบ่อนแบบถูกกฎหมายอย่างตลาดบ้านหุ้นเราด้วยแล้วล่ะก็…Volume มาเมื่อไร…..ก็มีสิทธ์ที่ราคาหุ้นตัวนั้นจะขยับได้ไวเท่านั้นว่าแต่จะวิ่งขึ้นหรือวิ่งลงก็แล้วแต่ คนลากคร้าบ..555

กลับมาเข้าเรื่องเรา หุ้นขึ้น Volume หาย มันแปลว่าอะไร…??แปลง่ายๆได้ แบบนี้คร้าบ….คนซื้อและคนขายต่างจดๆจ้องๆกัน>…จะซื้อจะขายกันก็หมุนกัน..แค่ไม่ก็รอบคร้าบ!!!….ประมาณว่าถ้าขายก็ขายทิ้งไม่กลับมาเล่นรอบซื้อใหม่ หรือ กลับกันคนซื้อก็ซื้อเก็บแบบว่ามีคนขายของออกมาเท่าไรรับซื้อหมด...ถามว่าทำไมเป็นแบบนี้ล่ะ..?? ตอบง่ายๆคร้าบมีคนกำลังเก็บหุ้นอยู่ลองนึกดูนะคร้าบว่ามีแรงขายหุ้นออกมาเท่าไร มีคนกวาดซื้อเรียบนั่นแปลว่าไม่มีหุ้นมาซื้อขายในตลาดหรือเรียกว่า volume ของการซื้อขายหุ้นตัวนั้นลดลง….ยิ่งถ้าเป็นหุ้นตัวใหญ่มี่ Market cap ในตลาดสูงๆอย่างเช่นหุ้นพวกเบจภาคีทั้งหลาย..พวกตระกูลปอจะเห็นไดชัดมากเพราะถ้ากลุ่มนี้ Volume ลดเมื่อไร…volume รวมในตลาดจะลดลงอย่างชัดเจน

ถามว่าทำไมมันผิดธรรมชาติก็ลองนึกดูซิคร้าบ สมมุติคุณถือหุ้นราคา 10 บาทอยู่..ถ้าราคาขึ้นมาเป็น 11, 12, 14 , 15 บาท คุณจะอยากขายหุ้นนั้นทำกำไรไหมคร้าบ..? แน่นอนมีทั้งคนถือหุ้นยาวและเล่นสั้น..เอาง่ายๆ day trade คงมีคนทยอยขายทำกำไรออกมา..เรื่อยๆๆฉะนั้น volume ซื้อขายหุ้นตัวนั้นก็ต้องสูงขึ้นตามปริมาณการซื้อขาย….เห็นไหมคร้าบ ว่า หุ้นขึ้น Volume หาย มันตรงข้ามกัน>>…..ซึ่งมันผิดธรรมชาติ…!!

ถามว่าเกิดอะไรขึ้นแบบนี้คร้าบ>>…มี Offer(ขาย) ออกมาที่ราคาสูงขึ้นเรื่อยๆแต่ก็มี Bid (ซื้อ) มาเหมาเรียบ...>แบบว่าซื้อแล้วเก็บเลยไม่ขายออกมาหมุนรอบอีกเห็นไหมคร้าบว่าจำนวนหุ้นหมุนเวียนในตลาดมันก็ลดหายไปแสดงว่ามีรายใหญ่เก็บหุ้นตัวนี้อยู่….ซึ่งเป็นอย่างนี้..>> สัญญาณดี ต้องสังเกตุดีๆคร้าบว่า เกิดอะไรขึ้นกับหุ้นตัวนี้ หุ้นตัวนี้มันมีดีอะไร…??

ทั้งนี้ทั้งนั้น หุ้นขึ้น Volume หายนี่ต้องดูกันยาวๆคร้าบ อย่าลืมว่าการจะเก็บของนั้น….เค้าไม่ได้เก็บกัน วันสองวันรายใหญ่เค้าเก็บกันนานกว่านั้นนอกจากศึกษา, ช่างสังเกตุแล้ว อย่าลืมดู technical ประกอบด้วยตอนจะซื้อจะขาย..แต่ทุกอย่างควรอยู่บนหุ้นที่แข็งแกร่งพื้นฐานดีคร้าบ,…!!
Kumpol [Aug-2011]

Monday, August 29, 2011

คำถามยอดฮิตไม่ว่ายุคไหนสมัยไหน..ซื้อหุ้นอะไรดี.?มีหุ้นแนะนำไหม.?


คำถามยอดฮิตไม่ว่ายุคไหนสมัยไหนคือ..ซื้อหุ้นอะไรดี..?? มีหุ้นแนะนำไหม..?? ...ผมว่าประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ต้องตอบคำถามนี้ยังไง....เพราะว่าคำถามเหล่านี้ไม่มีใครรู้ว่า....ราคามันจะขึ้นหรือลงเท่าไร...ในช่วงไหน!!! เพราะเราไม่ใช่คนคุมราคาหรือที่เรียกว่าคนทำราคา..
คำตอบที่ต้องตอบสำหรับคนที่ถามคำถามเหล่านี้ก็คือ "ถ้ารู้ก็รวยไปแล้ว" 555…ในเมื่อเราไม่รู้เราต้องหมั่นศึกษาหาความรู้และช่างสังเกตุ คร้าบ,..อย่าลืมนะคร้าบว่ามากกว่า 80-90% ขาดทุนแล้วก็ล้มหายตายจากไปจากตลาดหุ้นเราจึงต้องเรียนรู้ว่าทำไมคนส่วนใหญ่ขาดทุนมันไม่ใช่เรื่องบังเอิญนะคร้าบที่ คนส่วนใหญ่จะขาดทุน ตลอด..!!!  แสดงว่าต้องมีอะไรซักอย่าง..คุณว่าจริงไหม??

ข้อแรกทุกคนที่เข้ามาในตลาดทุนมองหาและหวังแต่กำไร..นี่เลยเป็นช่องทางให้ฝ่ายคนที่มีทุนพอจะควบคุมราคาหุ้นตัวนั้น..โยนราคาขึ้นลงจะ รายยุ่ยทนไม่ไหวขายออกไปที่ราคาต่ำกว่าที่ซื้อมาสรุป ขาดทุน...หุหุ

ข้อสอง ไม่ชัดเจนว่าเราน่ะ...ก่อนจะซื้อกำหนดราคาขายไว้รึยัง..??  ถ้ามันขึ้นไปถึงเป้าหมายก็ let profit run ต่อไป แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น น้อยคนมากคร้าบที่กำหนดเป้าขายก่อนเข้าซื้อ ส่วนมากซื้อเพราะกลัวตกรถกันทั้งนั้นแล้วก็หวังแต่กำไร..555

ข้อสาม ตอนซื้อจะเป็น trader พอติดหุ้นก็ปลอบใจตัวเองเป็น VI ซะงั้น,,.!!! .เป้าหมาย้าชัดเจนก็ไม่มีอะไรทำให้หวั่นไหวได้คร้าบ..ตราบใดที่เราทำการบ้านกับหุ้นตัวนั้นมาดี..

นี่เอาสามข้อก่อน......สรุปง่ายๆ พวกนักวิเคราะห์ทั้งหลายฟังเค้าไว้ครับ.....ฟังได้แต่อย่าเชื่อ..!!อย่าเชื่อโบรค!!! อย่าเชื่อเซียน!! อย่าเชื่อข่าลือ!!! อย่าเชื่อผม !!!…"เชื่อตัวเองไว้คร้าบ"ไม่มีวิธีไหนตายตัวสำหรับนักลงทุนประเด็นอยู่ที่ว่าถ้าเราค้นพบว่าวิธีไหนทำเงินให้เราได้เงินตามเป้าหมายก็วิธีนั้นล่ะคร้าบดีที่สุดสำหรับคนๆนั้น…!! ศึกษาให้รอบด้านให้เวลากับมันแล้วเชื่อตัวเอง..รู้เขารู้เรารบร้อยครั้งชนะร้อยครั้งคร้าบ…!
Kumpol [Aug-2011]

Thursday, August 25, 2011

Cultural Factors แบบพี่ไทย...มันเป็นยังไงเนี่ย..?

ห่างหายไปนานเพราะมีภารกิจการอ่านเยอะมากๆๆ วันนี้มีโอกาสว่างๆเลยคิดว่าเอาเรื่อง Cultural factor มาคุยกันดีกว่า.. จริงๆเอง Cultural factors นี่มีหลายทฤษฏีมาก..มีคนพูดกันมากเพราะเป็นอะไรที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน..มีตั้งแต่ระดับตัวเองไปถึงระดับชาติว่ากันง่ายๆคือเจ้า Cultural factors นี่มันบอกว่าคนไทยๆอย่างเราๆน่ะมันนิสัยยังไงกันแน่เนี่ย..??

เดี๋ยวจะเอาทฤษฏีของ Geert Hofstede มาพูดแบบภาษาชาวบ้านดีกว่า> Hofstede นี่เทพขนาดไหนแบบว่า?? ทำวิจัยมา 30-40 ปีแล้วยังใช้ได้อยู่เลยเทพมากๆเค้ารู้ได้ไงเนี่ย??…ว่าแต่จะตรงรึเปลา..มาดูกัน..!

เริ่มเลย Cultural dimenstions แบ่งเป็น 5 ด้าน

1. Power Distance(PDI) แปลตรงตัวคร้าบคือระดับที่สังคมคาดหวังมีความแตกต่างในระดับของอำนาจ คะแนนที่สูงแสดงให้เห็นว่ามีความคาดหวังที่บุคคลบางคนใช้อำนาจมากกว่าบุคคลอื่น คะแนนที่ต่ำสะท้อนให้เห็นถึงมุมมองที่ผู้คนเห็นว่าควรมีสิทธิ์เท่าๆ กัน….ให้ทายว่าพี่ไทยเราเป็นยังไง???  PDI นี่เดี๋ยวเฉลยคร้าบ..!

2. Individualism (IDV) อันนี้โยงถึงความมากน้อยที่ผู้คนคาดหวังที่จะยอมให้ได้สำหรับตนเอง หรือจะยอมเป็นส่วนขององค์การ ..เอาง่ายๆแบบนี้มันแปลว่าสันโดดรึเปล่าหรือเอาพวกพ้อง…..อันนี้เกี่ยวกะด้านต่อไปข้างล่างคร้าบ..

3. Uncertainty Avoidance Index (UAI) คือการหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนสะท้อนให้เห็นความมากน้อยที่สังคมหนึ่งๆ ยอมรับความเสี่ยงและความไม่แน่นอน..555 น่าจะพอเดาได้ว่าพี่ไทยนี้เป็นยังไง..

ที่เหลืออีก2ด้านก็ Masculinity (MAS) กะ Long-Term Orientation (LTO) ไม่พูดถึงนะคร้าบ

พี่ไทยนี่มีด้าน PDI กะ UAI สูงคร้าบแปลว่าอะไร??ยกตัวอย่าง ผู้บริหารทั่วๆไปเค้ามักจะมีลำดับขั้นเยอะในการสั่งการว่ากันง่ายๆๆใช้ Power เยอะคร้าบถามว่าดีไหม..? ดีคร้าบในบางด้านเช่น Project manager แต่ปัญหามันมาอยู่ที่นี่ซิคร้าบว่า ไอ้เจ้า UAI ของเรามันดันสูงด้วยนั่นซิ..!!!! หมายถึง>>…อะไรก็ไดวุ้ยอย่ามายุ่งหรือมาถึงตัวก็พอ…555….เป็นอย่างนี้จริงๆๆพี่ไทย>> นี่ตามงานวิจัยพี่ไทยจะทำอะไรเอาอะไรก็ไดทั้งนั้นตราบใดก็ตามที่ตัวเองรอด…## มีคนบอกว่าชาติอื่นก็เป็นใช่คร้าบแต่มันต้องดู score ว่าใครมากกว่ากัน..

อีกด้านนึงคือ IDV พี่ไทยเราได้คะแนน้อยสุดคร้าบเนื่องจากมีความรักพวกพ้องสูงคร้าบยกตัวอย่างนึงที่น่าสังเกตุคร้าบวงการITน่ะ พวก software engineer ส่วนใหญ่จะมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวคือ มันกลับกันด้าน IDV คือมันมีความเป็นตัวของตัวเองสูง..จะทำงานได้ดีนี่ต้องให้พวกนี้มีพื้นที่ IDV สูงๆ

พูดมาถึงตรงนี้น่าจะพอเห็นภาพนะคร้าบว่า.ปัญหามันอยู่ตรงนี้ว่าถ้าใครบริหารแบบนิสัยพี่ไทยคือ ผู้บริหารลำดับขั้นเยอะใช้ อำนาจเยอะแถมแสดงออกชัดว่าเอาพวกพ้องตัวเองในแวดวง ITแล้ว..ลูกน้องในทีสุดจะสัมผัสได้เค้าฟังคร้าบแต่อาจจะไม่เชื่อเพราะยอมแบบว่าหลีกเลี่ยงความไม่แน่นอนที่อาจะเกิดขึ้นกะตัวเองอ่ะ (UAI สูงแบบพี่ไทย 555)..ในที่สุดจะเกิดปัญหาการเมืองภายในคร้าบ..แบบว่าพวกฉันหรือพวกเธอ?? ซึ่งไม่เป็นผลดีต่อองค์กรคร้าบวิธิดูว่าองค์กรไหนเป็นแบบนี้งานวิจัยเค้าว่าให้สังเกตุว่า..ทุกอย่างจะเป็นเอกสารหมดแบบว่าอะไรๆก็ document แล้วก็การตัดสินใจนี่centralize คร้าบคือแบบว่าศูนย์กลางอำนาจ.. คงพอมองเห็นนะคร้าบว่า พวก software engineer อ่ะเค้าจะอยู่ได้ไหมถ้าเจอ Cultural factors แบบนี้..555

ทั้งนี้ทั้งนั้นไม่มีสูตรอะไรตายตัวว่าแบบไหนดี..สำคัญคือเราต้องหา cultural ขององค์กรเราให้เจอ ..ว่าคนทำงานเมื่อมาอยู่ด้วยกันแล้วกลายเป็น cultural แบบไหน?? ถ้าวิเคราะห์ได้แล้วว่า culture องค์กรเรามีด้านไหนเด่นด้านไหนเป็นแบบไหนแล้วการบริหารและทิศทางรวมถึงทัศนคติจะไปในทิศทางเดียวกันได้ดี
เห็น Cultural dimensions ตามนี้แล้วไม่แปลกใจเลยคร้าบว่าทำไมพี่ไทยเรามีกีฬาสีบ่อย..555.เดี๋ยวแดงมาเดี๋ยวเหลืองมา..หุหุมันเป็น cultural factors ของพี่ไทยเราอยู่แล้วเพียงแต่มีเหตุการณ์อื่นๆในช่วงนั้นๆมากระตุ้นไม่ว่าเริองนั้นจะเป็นการเมือง,เศรษฐกิจ,สังคม,..เยอะเยะ..เพราะฉะนั้นอย่าไป serious มากคร้าบเวลาเราเจอเริ่องพวกนี้หุหุ..มันเป็นธรรมดา ที่ไหนก็มี cultural factors ในแบบของตัวเองว่าแต่อย่าส่งเสริมผิดด้านล่ะ>> ไมงั้นเดี๋ยวมีกีฬาสีย่อยๆในองค์กรให้ดู…555
Kumpol [Aug-2011]

Sunday, August 7, 2011

สุลต่านในฮาเร็ม Credit: ดร.นิเวศน์ เหมวชิรวรากร

 หลังหุ้นบ้านเราลงแรงตามตลาดต่างประเทศ..ไม่แปลกคร้าบที่คนส่วนใหญ่จะมองในแง่ลบ.!!  ยิ่ง.S&P มา downgrade อเมริกาด้วยแล้ว..หุหุ,..อย่างที่เขียนไปก่อนหน้านี้,..หนังชีวิตคร้าบ...!!  แบบว่ายาวๆๆอยู่ซักพักนึง....กว่าฝั่ง US กะ Europe จะหายมึน..;วันนี้เลยขอนำบทความของ  ดร.นิเวศน์ สำหรับคนที่พลาดไปยังไม่ได้อ่าน...เรื่องการเลือกหุ้นไว้ในการครอบครองเปรียบเทียบการเลือก หุ้นกับสาวงามในฮาเร็ม... บทความนี้น่าติดตามคร้าบ..!! เอาไว้ใช้กับสถานการณ์ตอนนี้ว่าในวิกฤตมีโอกาสเสมอคร้าบ..ในทาง technical มีดยังไม่ถึงพื้นอย่าเพิ่งเอามือไปรับ..แต่ถ้าเล่น fundamental แล้วยาวไป..พวกนี้เค้ารู้ดีคร้าบว่าหุ้นตกหนักๆแบบว่า panic sale นี่ต้องทำยังไง...555

เริ่มเลยคร้าบ....ลองจินตนาการดูว่าจะมีความสุขแค่ไหนถ้าเราเป็นสุลต่านที่มีความมั่งคั่งและอำนาจเด็ดขาดที่สามารถสั่งการเรื่องใดก็ได้ในอาณาจักรของตนเองทุกเช้าเวลาสิบโมงตรง  หญิงงาม 500 คน แต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สวยงามจะถูกบัญชาให้เดินเรียงแถวเข้าเสนอตัวให้สุลต่านคัดเลือก เพื่อให้เป็นนางบำเรอหรือเป็นคู่ชีวิตร่วมทุกข์ร่วมสุขแล้วแต่ที่สุลต่านจะต้องการสาวงามแต่ละคนต่างก็อวดโฉมและเสนอตัวด้วยมารยาต่างๆ  เพื่อหวังจะได้รับเลือกให้เป็นคู่ของสุลต่าน  การได้รับเลือกเป็นความฝันสูงสุดของทุกคน   สุลต่านเองก็มีประวัติและข้อมูลเฉพาะตัวเกี่ยวกับหญิงสาว เช่น  อายุ ความสูง  ส่วนเว้าส่วนโค้งของร่างกาย  รวมถึงอุปนิสัยและความสามารถต่างๆ   อย่างไรก็ตาม  ด้วยจำนวนสาวงามที่มากมาย  ดูเหมือนว่าการเลือกสาวดูเหมือนจะยุ่งยากอยู่ไม่น้อย  คำถาม ก็คือ  จะเลือกไว้สักกี่คน  และจะเลือกคนไหน  ที่จะทำให้เกิดความสุขสูงสุด
 
 ถ้าเป็นสุลต่านที่กำลังมีความกำหนัดสูงและไม่ทันได้คิดถึงอนาคตที่ตามมา  พระองค์ก็จะรีบที่จะเลือกสาวตั้งแต่คนต้นๆ   สาวที่พระองค์คิดว่ามีความงดงามหรือมีจริตกิริยาน่ารักน่าใคร่ก็จะถูกเลือกไว้อย่างรวดเร็ว  ในไม่ช้าและก่อนที่จะถึงสาวคนสุดท้าย  พระองค์ก็จะได้ “นางบำเรอ”  จำนวนมากมาเป็นคู่  ชีวิตหลังจากนั้น  ดูเหมือนว่าจะสับสนวุ่นวาย  สุลต่านไม่รู้แม้แต่ชื่อของหญิงทุกคนที่มาสัมพันธ์กับตนเองไม่ต้องพูดถึงความ “โรแมนติก” ที่จะได้รับจากการที่ได้กอดกับผู้หญิงที่รู้และเข้าอกเข้าใจ
 
 ไม่เป็นการดีกว่าหรือที่สุลต่านจะเลือกหญิงงามแค่สัก 7 คน  อืม..สัก 6 คนก็น่าจะพอ  เพราะการ  “ได้พัก”  สักหนึ่งวันในแต่ละสัปดาห์น่าจะทำให้คุณภาพชีวิตดีขึ้นกว่าการ “มีความสุข” ทุกวันโดยไม่ได้พักเลย  ดังนั้น  สิ่งที่สุลต่านควรทำ ก็คือ การกำหนดตั้งแต่ต้นว่าตนต้องการผู้หญิงที่จะมาเป็นคู่ที่จะเข้าใจกันและกันเป็นอย่างดี  และมีความผูกพันที่ลึกซึ้งยาวนานพอสมควร  ไม่ใช่ความสัมพันธ์อันฉาบฉวย  จำนวนเพียง 6 คน  ไม่ใช่สาวงามเป็นสิบๆ  หรือเป็นร้อยคน
 
การเลือกสาวงามเพียง 6 คนจากจำนวน 500 คนนั้น  ถ้าจะให้สาวงามเดินแถวเรียงเข้ามาเพื่อให้พิจารณาคงเป็นเรื่องที่ยากเย็นแสนเข็ญ   สาวงามแต่ละคนก็มี “จุดเด่น”  และจุดด้อยกันคนละอย่างทำให้ตัดสินใจได้ยาก   เหนือสิ่งอื่นใด  สาวงามแต่ละคนต่างก็พยายาม “พรีเซ้นท์”  ตัวเองอย่างเต็มที่เพื่อหวังให้ได้รับการคัดเลือก  นี่อาจจะทำให้สุลต่าน “หลง”  ไปกับสาวงามบางคนที่อาจจะไม่ได้มีคุณสมบัติที่ดีเท่าที่ควร  ถ้าเช่นนั้นสุลต่านจะทำอย่างไรดี
 
 วิธีที่จะคัดสาวงามที่จะทำให้ได้คนที่สวยและดีที่สุด ก็คือ การตั้ง “เกณฑ์” เพื่อจะตัดสาวงามที่มีคุณสมบัติบางประการไม่ถึงขั้นจะเป็นเลิศออก  ตัวอย่างเกณฑ์ข้อหนึ่ง ก็คือ  สาวที่มีความสูงไม่ถึง  170 เซนติเมตรก็ไม่ต้องเดินเข้ามาโชว์ตัว  เกณฑ์ข้ออื่น ๆ  อาจจะเป็นเรื่องของส่วนโค้งส่วนเว้าหรือคุณสมบัติอื่นๆ   ที่เป็นที่ต้องการของสุลต่าน  ยิ่งต้องการคนน้อยเท่าไรเมื่อเทียบกับจำนวนคนทั้งหมด  เกณฑ์ก็จะต้องเข้มข้นมากขึ้นเท่านั้น  บางทีแค่ว่าตาเล็กใหญ่ไม่เท่ากันก็ต้องถูกคัดออกแล้ว  ด้วยวิธีการแบบนี้  สุลต่านก็จะเหลือสาวงามจำนวนไม่มากที่จะพิจารณาคัดเลือก  และนางงามเหล่านี้ต่างก็จะต้องสวยสดงดงามระดับนางงามอยู่แล้ว  มิฉะนั้น ก็จะไม่สามารถผ่านเกณฑ์ที่เข้มงวดมาได้  ถึงขั้นนี้ก็เป็นเรื่องที่ไม่ยากที่สุลต่านจะได้สาวในฝันมาบำเรอตนเอง
 
 ในชีวิตจริงเราคงไม่สามารถเลือกสาวดังกล่าว   ในชีวิตจริงนั้น   บางคนก็สามารถเลือกคู่ได้มากกว่าคนอื่น  คนที่มีทรัพย์สมบัติหรือรูปสมบัติที่ดีมากๆ   ก็มักมีแนวโน้มที่จะเลือกคนอื่นประเภท  “หล่อเลือกได้”  “รวยเลือกได้”  หรือสมัยนี้ก็อาจจะ  “สวยเลือกได้”  แต่สำหรับผมเองแล้ว  ดูเหมือนว่าชีวิตนี้มักจะออกในแนว  “ถูกเขาเลือก”  ตลอดมา   หลาย ๆ  ครั้งผมคิดว่าผมอยู่ในสถานะที่  “เสียเปรียบ”  ไม่ว่าในการทำงานหรือการใช้ชีวิต  บ่อยครั้งผม “เสนอตัว”  เพื่อที่จะให้เขาเลือก  เช่น เสนอตัวให้เขาเลือกเป็นพนักงาน  หรือเสนอตัวเพื่อให้เขาเลือกให้เราและบริษัทเราทำงานให้เขา  แต่ก็มักไม่ได้รับการคัดเลือก  ประเด็น ก็คือ  คุณสมบัติของเราไม่ดีพอ  หน้าตารูปร่างเราไม่เด่นพอ  เราไม่ได้มาจากสถาบันการศึกษาที่ดีเยี่ยมระดับโลก  อะไรต่าง ๆ  เหล่านี้ทำให้ผมรู้สึกว่าโลกนี้มันไม่ยุติธรรมแต่เราก็ทำอะไรไม่ได้  ได้แต่คิดว่ามันเป็นเรื่องของ “โชคชะตา”  เราไม่ได้เกิดมาเป็น  “สุลต่าน”  
 
 แต่ครั้นแล้วผมก็พบว่า  ยังมีสถานที่แห่งหนึ่ง  ที่ผมสามารถทำลายความ  “ด้อย” ทุกอย่างที่ผมมี  ในสถานที่แห่งนั้น  ผมจะเป็น  “สุลต่าน”  ที่ผมจะเป็นฝ่ายที่เลือกได้ตามอำเภอใจ  ที่นั่น ก็คือ  “ตลาดหุ้น”  ทุก 10 โมงเช้า  จะมีหุ้นกว่า 500 ตัวเสนอตัวออกมาให้ผมเลือกว่าจะลงทุนซื้อหุ้นตัวไหนโดยที่ผมไม่ต้องแม้แต่จะขอร้องให้ออกมาโชว์ตัว  หุ้นกว่า 500 ตัวนี้  ผมไม่มีความจำเป็นและไม่อยากที่จะมีไว้ครอบครองเกินกว่า 10-20 ตัว  ว่าที่จริงหุ้นที่มีนัยสำคัญที่จะเป็น  “คู่แท้”  ที่ผมอยากมีความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนยาวนานนั้น  ผมคิดว่ามีสัก 6 ตัว ก็เพียงพอและมีความสุขแล้ว  การเกี่ยวข้องกับหุ้นจำนวนมากก็คงเหมือนกับการเกี่ยวข้องกับหญิงสาวของสุลต่าน  มันไม่มีความโรแมนติกเสียเลย
 
วิธีการคัดเลือกหุ้นของผมก็เหมือนกับการคัดตัวหญิงสาวของสุลต่าน  ผมตั้งเกณฑ์เข้มข้นว่าหุ้นประเภทไหนบ้างที่ผมไม่สนใจและจะคัดออกจากการพิจารณา  สุลต่านกำหนดว่านางงามของตนนั้นต้องสูงอย่างน้อย 170 เซนติเมตร  หุ้นของผมอาจจะต้องเป็นหุ้นที่  “โต”  หรือโตเร็ว  หุ้นที่กิจการไม่โตหรือจะเล็กลงในอนาคตผมจะตัดออก  อะไรทำนองนี้  ถ้าจะว่าไป  เกณฑ์ของผมคงจะเข้มงวดมาก  ผมคิดว่ามีหุ้นหลายร้อยตัวในตลาดที่ผมแทบไม่พิจารณาเลย  ผมทำได้  เพราะผมคิดว่า  ในตลาดหลักทรัพย์นั้น  ผมเป็น “สุลต่าน”  ไม่ว่าหุ้นจะ “สวย” แค่ไหน  ก็ไม่มีสิทธิที่จะมาเลือกผม  ผมจะเป็นคนเลือกว่าจะซื้อหรือไม่ซื้อมัน   เหนือสิ่งอื่นใด  ผมต้องการหุ้นแค่ 5- 6 เท่านั้นที่จะทำให้ผมประสบความสำเร็จในการลงทุน
 
ประเด็นที่สำคัญสำหรับผม ก็คือ  ผมจะต้องตระหนักตลอดเวลาว่า  ผมจะไม่ถูกหุ้น “เลือก”   ความหมาย ก็คือ  หุ้นนั้นก็คงเหมือนหญิง 500 คนที่เสนอตัวให้สุลต่านเลือก   พวกหล่อนต้องแต่งตัวดีและยั่วเย้าเพื่อให้สุลต่านหลงเพื่อจะได้รับการเลือก   หุ้นจำนวนมากในตลาดหลักทรัพย์นั้น  เปรียบไปแล้วก็เหมือนกับหญิงของสุลต่านที่พยายามยั่วให้คนมาซื้อ   นั่นคือ  ในทุกๆ  วันจะมีหุ้นบางตัวมีราคาและปริมาณการซื้อขายที่ปรับตัวขึ้นมาอย่างหวือหวา  และนั่น  “ยั่ว”  ให้นักเล่นหุ้นสนใจเข้าไปร่วมซื้อขายอย่างไม่ได้พินิจพิจารณาเป็นอย่างดี  พวกเขาเข้าไปซื้อเพราะหวังกำไรอย่างรวดเร็วโดยไม่รู้ว่าที่จริงเขา  “ถูกเลือก”  ให้เข้าไป  “เล่น”  ในสถานการณ์แบบนี้  โอกาสที่จะได้  “หุ้นงาม”  นั้นมีน้อย  แต่โอกาสที่จะเสียจะมีมากกว่า  น่าเสียดายที่คนเล่นหุ้นรายย่อยในตลาดนั้น  ส่วนใหญ่แล้ว  มัก “ถูกเลือก”  มากกว่าเป็น  “ผู้เลือก”

Credit: ดร.นิเวศน์  เหมวชิรวรากร และหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ

Tuesday, August 2, 2011

หุ้นขึ้น..เกี่ยวอะไรกับ…เงินบาทแข็ง..?

ถ้าสังเกตุดีๆ...ตลาดหุ้นบ้านเราขึ้น ..มักจะเป็นตอนค่าเงินบาทแข็ง,..กลับกัน...เงินบาทอ่อนหุ้นก็มีแนวโน้มจะตก,…ถามว่าทำไม,..??  ลองดูง่ายๆแบบนี้คร้าบ,.. ถ้าเรามองว่าตลาดหุ้นบ้านเราเป็นบ่อนแบบถูกกฏหมาย !!,..แล้วต่างชาติคือ..ผู้เล่น..สมมุติเค้ามีหน้าตักอยู่ 1 ล้าน เหรียญ$ ..> แลกมาเป็นเงินบาท เอาตัวเลขกลมๆๆง่ายๆ  1 US$ = 30 บาท ,..แลก 1 ล้านเหรียญ ก็ได้  30 ล้านบาท..> มาลงทุนในตลาดห้นบ้านเรา,…ถามว่า การลงทุนนี้ของต่างชาติเค้าเป็นไปได้กี่ทาง....ออกได้กี่แบบ??..หุหุ,..ใช่คร้าบ  3 แบบ คือ ไม่กำไร..ก็ขาดทุนหรือ..ไม่ก็เท่าทุน,..!! 
ลองนึกดูคร้าบว่า,...เงินที่มากพอจนสามารถ control หุ้นในตลาดได้น่ะ...> โอกาสเค้าจะกำไรหรือขาดทุนมากกว่ากันคร้าบ..? ถูกต้องแล้วคร้าบ..!!.. มักไม่ขาดทุนคร้าบเพราะเป็นผู้กำหนด Game นี้ในตลาดหุ้นเอง,..ถามว่า เกี่ยวไรกะหุ้นขึ้น..??

คำตอบก็คือ,..ก็เพราะว่าเค้าเอาเงินเข้ามาน่ะมันได้มากกว่าเสียน่ะซิ,5555 ..มีโอกาส มากกว่า 2/3 อีกที่จะได้เงิน !!!,…สมมุติถ้าเงินบาทแข็งค่าขึ้น.. 29 บาท..!! ตอนเค้ามาลงในหุ้นจะเกิดอะไรขึ้น..?? มาดูกันคร้าบ..
ข้อแรกการที่ต่างชาติมีทุนสูงพอที่จะควบคุมการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นได้ทำให้โอกาสขาดทุนจากส่วนต่าง หรือ  Capital loss นั้นมี<< น้อยมาก<<..หุหุ.....แต่ก็ไม่ใช่ว่าต่างชาติขาดทุนไม่เป็นนะ 555 ..!!

ข้อสอง กรณีออกแบบเท่าทุน (แบบว่าหักค่าธรรมเนียมอันจิ๊บจ้อยที่เค้าต้องจ่ายแล้ว)..คือราคาหุ้นไม่เปลี่ยนแปลงไม่ได้ไม่เสีย....เค้ายังเอาเงินกลับไป 1 ล้าน เหรียญ แถมได้เงินกินขนมอีก 1 ล้านบาทจากส่วนต่างค่าเงินตอนแลกคืนที่ 29 บาท..หุหุซึ่งจริงๆ...แล้วกรณีนี้..แทบจะไม่เกิดหรอกคร้าบ...!!! ทำไม..??? เพราะเค้าลงทุนก็อยากได้ผลตอบแทนกลับไปน่ซิคร้าบ,.....จะมาจ่ายค่า fee เปล่าๆทำไม!!!!.....แค่ยกตัวอย่างให้เเห็นว่าขนาดกรณีนี้ยังได้กำไรเลย,...!!

กรณีสุดท้ายคือลงทุนแล้วได้กำไร อันนี้เห็นๆๆ ได้ทั้งขึ้นทั้งร่อง  double เลย สมมุติกำไร 8% จากส่วนต่าง เท่ากับเค้าได้กำไรอย่างเดียว (8/100)x 30 mil = 2.4 ล้าน บวกกับค่าขนม อีก 1 ล้านบาทจากค่าเงิน….เทพมากๆๆ++!!

นึกดูคร้าบโอกาสเสียตังเค้าน้อยมากๆๆไม่แปลกใจเลยที่ ทำไมเงินทุนต่างชาติจะไหลเข้าตลาดหุ้นบ้านเรา..ตอนค่าเงินเราแข็งที่พูดมาทั้งหมดคือ ทิศทางค่าเงินบาทมีความสำคัญมากกับ SET Index บ้านเรา,…,มองทุกอย่างเป็นเหตุเป็นผลเข้าไว้คร้าบ..ถ้าเราเป็นเค้าแล้วรู้ข้อมมูลแบนี้เราก็ เห็นโอกาสเหมือนกัน..!!! จริงไหม???.....ทั้งหมดนี้พูดในมุมมองจิตวิทยาการลงทุนเท่านั้นนะคร้าบ..!!!ยังมีเหตุผลมีมากเกี่ยวกับ fund flow ไหลเข้าไหลออก..ก็อย่างทีเรารู้กันว่ามันจะไหลไปหาที่ๆได้ผลประโยชน์สูงสุดเสมอ...รู้เขารู้เรา...รบร้อยครั้ง....ไม่ต้องชนะทั้งร้อยครั้งก็ได้ คร้าบแค่ชนะไม่กี่ครั้งแต่ได้ตังก็พอแล้ว อิอิ…!!

Kumpol [Aug-2011]

Monday, August 1, 2011

Apple ของ Steve Job เจ๋งยังไง.?.ทำไมรวยกว่ารัฐบาลอเมริกันอีก??


วันนี้เอาเรื่องประเด็นความเจ๋งของบริษท Apple มาขยายดูในอีกมุมมองนึงบ้าง,,..ลองย้อนกลับไปไม่ต้องนานแค่ 4-5 ปีที่แล้ว,..ถามว่ามีคนใช้ products ของ Apple กี่คนในบ้านเรา,,.?? คำตอบคือพอสมควร,,! แต่อาจจะจำกัดอยู่ในแวดวงคนใช้ Mac ไม่ว่าจะเป็นด้าน Graphic, Music ต่างๆๆเรียกได้ว่าเมื่อคนได้เข้าไปอยู่ในโลกของ Apply แล้วละก็,,..หุหุ,,.## มีเรื่องให้ต่อยอดการใช้งานอีกเยอะๆๆ เรียกง่ายๆๆว่ามีเรื่องให้เสียตังอีกเยอะ!!!!,…555 นี่แหละความเจ๋งของ Apple นี่ขนาดยังไม่พูดถึง IPhone, IPad คงไม่มีใครปฏิเสธได้เลยว่า IPhone, IPad มันเจ๋งยังไง..?? ก็ว่ากันไปคร้าบแล้วแต่การใช้งานและมุมมอง++!!

แต่ที่อยากจะนำเสนอคือนี่คร้าบ ความเจ๋งของเค้าที่โกยเงินไปทั่วโลกชนิด cash flow ในมือยังมีมากกว่ารัฐบาลสหรัฐซะอีกคือ,,..Strategy หรือกลยุทธ์ของ Apple นี่ไม่ธรรมดาคร้าบ,,..ถามว่ายังไง,..?? ลองนึกดูคร้าบ Apple ออก Products แต่ละอันออกมามันสอดคล้องกันหมด,,,…และเป้าหมายแบบเนียนๆ,,..ก็คือ เปลี่ยนพฤติกรรมผู้บริโภคผ่านการ educate โดย Products,..ยังไง,..งง,,…?  นึกดูว่าสมัย iPod เครื่องใหญ่ๆเราจะ download เพลงทีต้องเข้าไปใน ITunes ไม่ก็ sync เพลงใน local drive เรา,..อันนี้เป็นอะไรที่สมัยนั้น Nokia หรือ พวก Smart phone ก็พอมี,..แต่ประเด็นคือ,,..เราทำเองได้มี customization มากขึ้นในรูปแบบเราเองมากขึ้นมากๆๆ,…!!!
อันนี้ปูทางมาสู่เจ้า IPod nano แล้วก็สู่ยุค Iphone, IPad,,..ลองนึกดูนะคร้าบ Steve Job เซียนขนาดว่าเปิดตัว IPhone รุ่นแรกๆพร้อมๆกับกระแส Social Network นั่นไม่ต้องบอกเลยคร้าบว่าเป็นการออกตัวแรงแบบทิ้งเจ้าตลาดอย่าง Nokia แบบไม่เห็นฝุ่น,…แม้แต่ Blackberry ยังมึนแบบตั้งตัวไม่ทัน>,,....ที่วันนึงเราเป็นเจ้าตลาดอยู่มีคนมาเอาTop tier ลูกค้าส่วนใหญ่ไป,….!! ??

ทุกอย่างเกิดจากวางแผนอันชาญฉลาดและการมอง Product life cycle อย่างทะลุปรุโปร่งแบบว่าไม่ต้อง educate ผู้บรโภคมากเพราะ,..Product ทำในสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการแต่อาจะยังไม่รู้ตัว,..?? ยังไง,..?? เช่น การเปลี่ยนการกดปุ่มโยกซ้ายขวาเเล้วเลือกเมนูในหน้าจอของโทรศัพท์เดิมๆ..>>มาเป็นใช้ กลยุทธ์แบบ ชี้นิ้วสั่ง”,,.!!   มันก็แบบเดิมๆๆล่ะคร้าบเพียงแต่ product มันแสดงให้เห็นว่าผู้บริโภคจริงๆแล้วต้องการการใช้นิ้วลากไปมาผ่าน touch screen แบบนี้แล้วมันก็สะดวกกว่ามากๆ,,..

ที่ผ่านมา touch screens ทั้งหลายไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควรเพราะไปออกแบบ applications ต่างๆให้ใช้นิ้วจิ้มแทนปากกาอย่างเดียว,,.. แต่ IPhone นี่สังเกตุนะคร้าบว่าไม่มีปุ่มอื่นเลยยกเว้นปุ่ม Home ตรงกลางน่ะ,..ที่เหลือจะย่อ..ขยาย,.copy, paste,..อีกมากมาย,,.apps เค้าสร้างให้นิ้วเราเป็น นิ้วพระเจ้า แบบชี้นิ้วสั่งได้เลย,..!!อันนี้ไม่เคยมีมาก่อน,..แบบว่าเข้าถึง IT แบบเชื่อมโยง Human Behavior กับ Technology ได้อย่างลงตัวโดยออกแบบ product+apps ตามผู้ใช้งานจริงแบบจากล่างสู่บน bottom --> up,,..!!

ว่ากันต่อ,,…หลังจากeducate ผู้บริโภคแล้วตามด้วยการคลอด IPad ออกมา,,..ลองนึกดูนะคร้าบพวก tablet หรือ Kindle ไว้อ่านหนังสือมันมีมานานมากแล้ว,,..!!  ถ้า Apple คลอด IPad มาก่อนหน้านี้ ก่อน Iphone, IPod มันจะเป็นยังไง,,..??? ใช่คร้าบ,,.คลอด Products ออกมาในช่วงที่ดี่ที่สุดคร้าบ,..อันนี้พูดง่าย,,.แต่ทำยากมาก,..แต่ Steve Job ก็ทำให้เห็นแล้ว++!! ,.... นี่คือความเจ๋งของ Apple อีกมุมมองนึง,..นอกจากเรื่อง technology ,,..

คิดดูคร้าบ vision เค้าในอนาคตพวกอุปกรณ์ Apple ทั้งหมดเนี่ย,..เค้าจะทำให้ All Share in One,..ความคิดนี้มาจาก,,..ผู้ใช้คนนึงต้องมานั่งเสียเวลา sync ข้อมูลเก็บไปเก็บมาเนื่องจากมีทั้ง Iphone, IPod, Ipad, Mac บ้าง,.เค้าจะทำconcept แบบ personal storage device ,,..ไว้ sync แบบอัตโนมัตเลยคร้าบ,,.แค่เราอยู่ใน network เราหรือจะผ่าน internet ก็ได้,…หุหุ,..แค่ฟังความคิด Steve Job ก็แหม,..สะดวกแล้วคร้าบ,!!..

นี่แหละถ้าเราเข้าสู่โลกของ Apple แล้วล่ะก็ยาววๆๆๆคร้าบ,..นี่คือความเจ๋งในอีกมุมนึงของ Steve Job,,..เปลี่ยนproducts จาก complexity เป็น Simplicity..!! ไม่แปลกใจเลยคร้าบว่าทำไม cash flow นี่มีมากกว่า รัฐบาลสหรัฐซะอีก,.. มันมีที่มา,.! มันมีที่มา,.! 555
Kumpol [Aug-2011]