Monday, April 30, 2012

ปริญญาวิชาชีพ กับ ปริญญาชีวิต

อยากให้ทุกคนได้อ่านบทความดีๆ ที่เมืองไทยหลายปีก่อนที่แล้วมีข่าวเกรียวกราวมาก คือมีดาราคนหนึ่งซึ่งมีชื่อดังมาก เป็นคนดำเนินรายการ คนค้นคน ดร.อภิวัฒน์ วัฒนางกูร

ดร.อภิวัฒน์ มาเรียนที่อเมริกา เป็นคนเพอร์เฟคชั่นนิสทำงานทุกอย่างต้องดูดีที่สุด แม้กระทั้งล้างจาน ล้างเสร็จแล้วแกต้องเอามาดมดู ว่าสะอาดจริงมั้ย กลับไปเมืองไทยก็ไปเป็นอาจารย์มหาวิทยาลัย มีแฟน ก็จีบดาวมหาวิทยาลัยเลย ต้องให้ดีที่สุด เวลาแกไปเสนองานอะไรต่าง ๆ เขียนไว้สามแผน แผนที่หนึ่งลูกค้าไม่ซื้อ แกเสนอแผนที่สอง แผนที่สองลูกค้าไม่ซื้อแกเสนอแผนที่สาม ใครไปดีลงานกับแกติดทุกราย

แกมีบ้าน มีรถ มีลูก มีภรรยา มีธุรกิจ มีชื่อเสียงทุกอย่าง แกมีทุกอย่าง วันหนึ่งแกพักผ่อน หลังจากที่ทำงานแบบไม่ได้พักเลย ลูกเมียไปขอพบ บอกไปเจอพ่อที่ออฟฟิต วันหนึ่งแกไปพักที่ปากช่อง ตื่นขึ้นมากลางวันล้มฟุบลงไป ภรรยาพาเข้าโรงพยาบาล ตรวจพบมะเร็ง พอพบปุ๊บเป็นระยะสุดท้ายเลย จริงๆ เค้าก็เตือนตลอด แต่พอไม่มีเวลาไปตรวจมันก็แก้ไม่ได้

แกไปนอนป่วยอยู่ที่โรงพยาบาล แล้วก็สารภาพให้รายการคนค้นคน บันทึกชีวิตแก ก่อนจะเสียชีวิต แกก็ไปนอนให้พ่อแม่เช็ดเนื้อเช็ดตัว แกก็บอกว่าสังเวชตัวเองมากแทนที่ลูกจะได้ดูแลพ่อแม่ กลับมาเป็นว่าพ่อแม่ต้องมาดูแลลูก ก่อนจะเสียชีวิตแกให้สัมภาษณ์หนังสือพิมพ์คมชัดลึกบอกว่า พ่อผมเคยบอกว่า เกิดเป็นคนต้องได้ปริญญาสองใบ ปริญญาใบที่หนึ่ง 'ปริญญาวิชาชีพ' เราจะต้องทำมาหากินเป็น กินอิ่ม นอนอุ่น พูดง่ายๆ ล้วงไปในกระเป๋าแล้วมีเงินใช้อยากจะนอนมีบ้านเป็นของตัวเอง แค่นี้คือปริญญาวิชาชีพ

แต่ 'ปริญญาวิชาชีวิต' ซึ่งเป็นปริญญาใบที่สองที่พ่อแกบอกไว้ แกบอกว่าผมสอบตกโดยสิ้นเชิง ผมเป็นดอกเตอร์จากอเมริกาได้ปริญญาวิชาชีพ แต่ปริญญาวิชาชีวิตสอบตก เพราะอะไร เพราะทำงานจนป่วยตาย ก่อนที่จะเสียชีวิตแกได้สารภาพว่า ผมได้เตรียมทุกอย่าง บ้าน รถ มอบมันให้กับลูกและภรรยา แต่ในวันที่ผมมีทุกสิ่งทุกอย่าง ผมกลับลืมมอบหนึ่งอย่างให้กับลูกและภรรยา สิ่งนั้นคือสิ่งที่ผมลืมและทำให้ผมล้มเจ็บใหญ่ครั้งนี้ สิ่งที่ว่านี้คือ ผมลืมมอบตัวเองเป็นของขวัญให้กับลูกและเมีย เพราะทำงานหนักจนกระทั่งป่วยตาย นี่คือปริญญาวิชาชีวิต

ธรรมะเราจะต้องมี ถ้าเราไม่มีธรรมะ เราจะกลายเป็นหุ่นยนต์เท่านั้นเอง ที่ทำงานแทบล้มประดาตายแล้วสุขภาพไม่ดี ดังนั้นเมื่อเราทุกคนทำงานแล้ว อย่าลืมชั่วโมงสุขภาพของตัวเองในแต่ละวัน แต่ละวันควรจะมี ให้ดูแลตัวเอง ดูจิต ดูใจตัวเอง ว่าเราเอ๊ะมันทุกข์ มันทุกข์มากเกินไปรึเปล่า แบกเรื่องโน้นเรื่องนี้ เกินไปหรือเปล่าพยายามลดลงในแต่ละวัน ๆ เพื่อที่ว่าอะไรเพื่อที่ว่าเราจะได้ปริญญาสองใบในชีวิต

หนึ่งปริญญาวิชาชีพ เราทำมาหากินจนประสบความสำเร็จร่ำรวยมั่งคั่ง มีเงินมีทองใช้มีบ้านอยู่ แต่ต้องไม่ลืมปริญญาใบที่สอง คือวิชาธรรมะ สำหรับจะดูแลชีวิตให้ดำเนินอยู่ในทางสายกลาง ไม่ทุกข์เกินไปไม่เดือนร้อนเกินไป ทำอะไรให้พอดี พอดีอยู่ดีมีสุข อยากเที่ยวให้ได้เที่ยว อยากพักให้ได้พัก อยากทำบุญให้ได้ทำบุญ ลูกหลานมาหาก็ให้ได้มีเวลากับลูกกับหลานบ้าง อย่าวิ่งไปจนซ้ายสุด ขวาสุด และมารู้สึกตัวอีกทำจนล้มเจ็บใหญ่ไม่ดี เพราะอะไร เพราะว่าสุขภาพและชีวิตเป็น สิ่งสูงค่าทีสุดในชีวิตของเรา

เคยมีคนไปทูลถามพระพุทธเ้จ้า ว่าอะไรคือสิ่งสูงค่่าที่สุด บางคนก็ตอบเงิน บางคนก็ตอบเพชร บางคนก็ตอบทอง บางคนก็ตอบอำนาจ บางคนก็ตอบราชบัลลังก์ พระพุทธเจ้าบอกไม่ใช่ สิ่งสูงค่าที่สุดในชีวิตของพวกเธอคือสุขภาพและชีวิต สุขภาพก็คือการที่เราไม่เจ็บไข้ได้ป่วย คนที่สุขภาพดี ดื่มน้ำธรรมดาก็อร่อยนะ

**********************************************************

บันทึกสุดท้าย ของ ดร.วรฑา วัฒนะชยังกูร (อภิวัฒน์ วัฒนางกูร)

1) ตอนที่ผมไปเรียนต่อต่างประเทศ เราจะกลัวไปหมดทุกเรื่อง แต่ คุณแม่เขียนจดหมายมาสอนผมว่า อย่ากลัวในสิ่งที่มองไม่เห็น เพราะ ถ้าเราไปตั้งท่ากลัวเสียก่อน มันก็จะไม่เกิดสติปัญญาที่จะไปแก้ไขปัญหา สู้เราทำตัวสบายๆ แล้วแก้ไขปัญหาไปตามธรรมชาติจะดีกว่า

2) คนไทยเราเรียนปริญญาโทเพราะคิดว่าเรียนๆไปเถอะ เราแยกเอา การเรียนรู้และชีวิตออกจากกัน เชื่อแต่ว่า พอจบการศึกษาแล้วค่อยใช้ชีวิต แต่ในต่างประเทศ การเรียนรู้เป็นการกระทำที่ต่อเนื่อง มันเป็นสิ่งที่เคียงคู่กับการใช้ชีวิต

3) คุณพ่อ-คุณแม่ผมเป็นคนที่เชื่อมั่นในการศึกษา การศึกษาเป็นสิ่งที่ไม่สามารถมีใครขโมยไปได้การศึกษาเป็นทรัพย์สินที่ต่อเนื่อง คุณพ่อ-คุณแม่จึงพยายามทุกวิถีทางให้ผมมีการศึกษาที่ดี
ยอม ขายที่นาเพื่อให้สามารถส่งเสียผมไปเรียนได้ ทุกครั้งที่เห็นเด็กไม่สนใจการเรียน ผมจะรู้สึกเศร้าใจมากๆ หากมีโอกาสได้ทำบุญ ผมจะเลือกทำบุญกับโอกาสทางการศึกษาของเด็ก

4) การที่คนเราจะมองหาจุดมุ่งหมายของชีวิตให้เจอมัน เกิดขึ้นต่างรูปแบบกันต้อง ถามตัวเองว่าอะไรคือสิ่งที่เราอยากจะทำที่สุดในชีวิตกันแน่ผม เชื่อว่าทุกคนต้องหาให้เจอ ไม่ช้าก็เร็ว เราจะได้มีพลังขับเคลื่อนให้ไปถึงจุดมุ่งหมาย

5) ผมคร่ำเคร่งกับการเรียนเพราะเป็นสิ่งที่เราไปอยู่ตรงนั้นเพื่อที่จะทำมัน เราไม่ได้ไปอเมริกาเพื่อท่องเที่ยว เราไปเพื่อศึกษา อย่าลืมว่าผมทำงานไปด้วย เพราะฉะนั้นผมไม่ได้พลาดโอกาสที่จะเรียนรู้ชีวิตในอีกแบบหนึ่ง ในขณะเดียวกันผมก็ไม่พลาดโอกาสที่จะเปิดหูเปิดตาไป ท่องเที่ยว ผมคิดว่าชีวิตผมค่อนข้างจะรอบด้าน ได้ศึ่กษาทั้งวิชาการและทำงานแบบผู้ใช้แรงงาน


6) มองย้อนกลับไป ผมจะเลือกเงินหรือชีวิตเหรอ? ก็ผมนี่ไง ผมเป็นตัวอย่างของคนที่มุ่งหน้าหาเงิน เพราะว่าผมมีแผนการในชีวิตมากมาย ที่ต้องสร้างสมเอาไว้เพื่อครอบครัว มันไม่ถึงกับลืมใช้ชีวิตหรอก แต่ไม่ค่อยได้มีโอกาสใช้ชีวิตมากกว่า ที่สุดแล้วมันก็นำพาซึ่งความเจ็บป่วย ...

ที่สุดแล้วผมก็หาเงินตามจุดมุ่งหมาย ได้ไม่มากเท่าที่ควร เราบอกว่าเราจะทำงานสัก 20 ปี แต่ว่าโอกาสของเรามีแค่ 10 ปีเพราะหลังจากที่ตรากตรำทำงานมาหนัก ร่างกายบอกว่ามันทำได้แค่นี้ เพราะฉะนั้นก็ลงเอยด้วยการที่ไปไม่ถึงฝั่ง ฝัน...

7) ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ ผมคงเลือกทั้งเงินและชีวิต เพราะว่าเราปฏิเสธไม่ได้ว่าเงินก็ยังเป็นสิ่งที่หล่อเลี้ยงชีวิตแต่ ว่ามันไม่ใช่สรณะ ผมเลือกที่จะกระจายการทำงาน กระจายความทุ่มเทนั้นออกไป เพื่อให้สามารถทำงานได้นานมากขึ้นและตัวผมเองสามารถที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไปได้นาน ๆ

8) ความทรงจำที่มีค่ามากสำหรับผม มักเกิดขึ้นในช่วงเวลาเล็กๆ ที่ผมอยู่กับตัวเอง

9) ผมเคยเขียนการ์ดเล็ก ๆ ให้ภรรยาสรุป ความได้ว่า เวลาที่คนสองคนเดินไปบนชายหาด
ตอนที่เราหันกลับมามองก็จะเห็นเป็นรอยเท้าเล็กๆ 2 คู่เดิน ไปเดินมา ทำไมเราจึงเห็นรอยเท้าเหลืออยู่แค่คู่เดียวล่ะอีก คนหนึ่งหายไปไหนหรือ คำตอบคือไม่มีใครหายไปไหนหรอกแต่ อีกคนกำลังอุ้มอีกคนหนึ่งเอาไว้ ผมหมายถึง ตัวผมอุ้มเขาอยู่เป็น คำมั่นสัญญาว่าผมจะดูแลเขาไปจนกว่าชีวิตจะหาไม่


10) ครั้งหนึ่งที่ผมฟังดุริยมนตรา ซึ่งเป็นเสียงสวดมนต์ที่ประกอบไปกับดนตรี ผมฟังแล้วผมร้องไห้มาก แล้วบอกกับตัวเองว่า ถ้าชีวิตผมจะหาไม่จริงๆ ด้วยอาการเจ็บป่วยนี้ ผมอยากจะบอกคุณพ่อกับคุณแม่ว่า ... ผมได้คุณพ่อกับคุณแม่ที่ประเสริฐที่สุด ...ไม่ ใช่แค่เลี้ยงดูสั่งสอนให้แนวทางชีวิตในยามที่ผมปกติดีอยู่ แต่ในยามเจ็บป่วยคุณพ่อ-คุณแม่ไม่เคยห่าง มาหาผมที่โรงพยาบาลทุกวัน อยากให้ท่านได้รู้ว่าผมมีคุณพ่อ-คุณแม่ที่ผมไม่สามารถเรียกร้องหาได้ดีกว่านี้จากที่ไหน

11) ในความเป็นพ่อ ผมให้คะแนนความพยายาม มากกว่าผลสัมฤทธิ์ที่เกิดขึ้นผมคิดว่าคะแนนความพยายามของผมที่ 80 มันไม่เต็มร้อยหรอกครับเพราะมีข้อจำกัดเรื่องเวลา แต่ลูกๆ มีแกนกลาง คือเขามีแม่ที่ดี เพราะฉะนั้นลูกๆ จะไม่เคยรู้สึกว่าขาดพ่อ เพราะ ว่าแม่ทดแทนได้หมด แม่ไม่ใช่เพียงแค่คนที่พยายามรักษา ความสมดุลในครอบครัวแต่ เขาเป็นศูนย์กลางของจักรวาลในครอบครัวเรานี่ ไม่ใช่การถ่อมตน แต่เป็นการพูดในความรู้สึกที่แท้จริงเขา เป็นดวงใจของเราทุกคน ให้กลับกัน ผมไม่เชื่อด้วยซ้ำว่าผมทำได้เพราะ ว่าผมอาจจะถนัดเรื่องจัดหามากกว่าการดูแลใคร อยากได้อะไรผมจะหามาให้ ขอแค่ให้รู้เถอะไม่ต้องเอ่ยปากหรอกผมจะไปหามาให้

12) ชีวิตผมไม่มีอะไรนอกจากบริษัทเจเอสแอลและครอบครัว ผมมีแค่นี้ ผมไม่มีอย่างอื่นอีกแล้ว

13) การเป็นพ่อเป็นเรื่องของธรรมชาติ ไม่ต้องใช้อะไรเป็นพิเศษไปมากกว่าความรักทั้งหมด ผมเคยเซ็นหนังสือให้ลูกว่า สำหรับ น้องเพชร ด้วยความรักทั้งหมดในหัวใจพ่อ  ถ้าคุณรักลูก คุณก็พร้อมที่จะทำทุกอย่างกับเขา และ ตรงนี้ต่างหากที่เพิ่มเติมมาด้วยสติปัญญาพร้อม จะทำทุกอย่างเพื่อที่จะมีเวลาอยู่ด้วยกัน เรียนรู้ถึงความต้องการและความฝันของเขา แต่บางครั้งลูกก็ไม่ได้อยากอยู่กับเราเสมอไป เขาอาจจะมีธุระอื่น ฉะนั้นความรักและความเข้าใจจะต้องมาเป็นอันดับต้นเลย เราต้องพยายามหาหนทางละมุนละไมที่จะโอบแขนของเขา เข้าไปอยู่ในชีวิตของเขาให้ได้....

14) ผมไม่ขอเปรียบเทียบชีวิตการเป็นพิธีกรของผมกับคนอื่นๆ ตอนที่ทำรายการจันทร์กะพริบใหม่ๆ ผมจบดอกเตอร์มา มันยิ่งสร้างความคาดหวังว่าจะทำอะไรดีๆ ได้อีกเยอะ ต้องศึกษาหาความรู้เยอะ อ่านประวัติของแขกรับเชิญมาล่วงหน้า ซึ่งจะทำให้เราไม่รู้สึกห่างไกลจากเขารายการจันทร์กะพริบเป็นงานที่ยาก ผมใช้เวลากว่า 2 ปีจึงจะหาตัวเองพบ ต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่าการเป็นพิธีกรมันคือ การแสดง ในเมื่อมันคือการแสดง อะไรล่ะคือบุคลิกภาพจริงๆของเราเวลาที่เราขอคำแนะนำจากใคร 10 คน เราจะได้คำตอบ 10 อย่าง เพราะฉะนั้นผมเลยคิดว่า ที่สุดแล้วผมเชื่อตัวเองอีกว่า ผมไม่ใช่คนถามจาบจ้วงหรืออยากให้เฮฮากว่านี้ ผมว่าไม่ใช่ผม

ผมเป็นคนที่ให้เกียรติคน เป็นคนที่มีบุคลิกพูดง่ายๆว่า นุ่มนิ่มบางทีมันเป็นจุดอ่อน แต่เราต้องพัฒนาให้เป็นจุดแข็งให้ได้ เอาความอ่อนโยนมาเป็นเสน่ห์ เอาความนุ่มนิ่มมาเป็นวิธีการถามคำถามทำให้เกิดความอบอุ่นขึ้น

15) ครั้งแรกที่ผมสัมภาษณ์ ทอดด์ ทองดี เขาบอกว่ายูรู้ไหมว่า การที่ยืนอยู่ด้วยกันบนเวที มันมีไออุ่นของคนที่อยู่ใกล้กัน เขาไม่รู้สึกอบอุ่นแบบนี้กับใครเท่าที่ยืนอยู่ใกล้ผม ผมมีความรู้สึกว่านั่นแหละคือการที่เราหาตัวเองเจอ ธรรมชาติของผมคือเป็นผู้ชายที่อบอุ่นนั่นเอง

16) ทุกวันนี้ผมดูทีวีได้ไม่นาน เพราะว่าเสียงมันดังเกินไป รายการโทรทัศน์น่าจะมีความนุ่มนวลแล้วค่อยทะยานขึ้นไปถึงความตื่นเต้น แต่ทุกวันนี้มันมีแต่ความเปรี้ยงปร้าง อาจเป็นเพราะว่าการแข่งขันมันสูง พิธีกรต้องขุดมุกมาใช้เพื่อให้ได้ชื่อว่าสามารถสร้างเสียงฮาได้ตลอดเวลา ซึ่งผมคงสอบตกในกรณีนี้ แต่ผมเชื่อว่าความแพรวพราวมันมีได้หลายลักษณะ เช่น ยิงคำถามแพรวพราวก็ได้ หรือบางทีเขาตอบอะไรมา เราอาจจะแสดงความคิดเห็นอะไรกลับไป เป็นความแพรวพราวตรงนี้ก็ได้ ไม่จำเป็นต้องมีมุกตลอดเวลา

17) การเป็นพิธีกรคือโอาสที่ได้เรียนรู้ชีวิตของคน ได้แบบเรียนชีวิตโดยไม่ต้องซื้อหามา เป็น ประสบการณ์ล้ำค่าที่ไม่มีอะไรทดแทนได้ ผมเรียนรู้ชีวิตของชีวิตของผู้อื่น ผมได้ค้นพบว่าชีวิตไม่มีความแน่นอน เราต้องใช้ชีวิตอย่างระมัดระวัง ชีวิตเป็นสิ่งที่มีค่าและในยามที่เรายังมีลมหายใจอยู่ เราน่าจะได้ใช้โอกาสนั้นทำความดี เป็นสิ่งที่เราจะทิ้งไว้ในโลกนี้ มันเป็นมรดกของมนุษยชาติอย่างหนึ่งและคนอื่น อาจจะเรียนรู้ได้ในภายหลัง

18). การมีชีวิตอยู่เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่มาก เราทำให้ห้วงชีวิตเป็นอะไรก็ได้ เป็นหนึ่งชีวิตที่เต็มไปด้วยคุณค่าหรือเราทำหนึ่งชีวิตของเราให้เป็นหนึ่งชีวิต ที่สร้างความทุกข์ใจให้กับใครสักคนหนึ่งไปตลอดชีวิตก็ได้ ความยิ่งใหญ่ของชีวิตอยู่ที่ว่าเราจะเลือกใช้ชีวิตอย่างไร

19) ผมไม่รู้ว่าจำนวนของคนที่เห็นแก่ตัวบนโลกนี้มีเท่าไหร่ แต่ผมว่าความเห็นแก่ตัวมันเกิดขึ้นได้กับทุกๆคนแหละ มันคือการชั่งน้ำหนักในสิ่งที่เราจะทำจริงๆแล้ว ก็คงเหมือนกับที่เขาพูดกันว่า ไม่ต้องเป็นคนดีเท่าไหร่หรอก ขอแค่เป็นคนเลวน้อยที่สุดก็พอแล้ว

20) ความกตัญญูรู้คุณคนเป็นสิ่งที่ผมยึดถือเป็นหลักประจำใจ คนเราถ้าไม่รู้จักรู้พระคุณคน มัน ทำให้เราหลงลืมไปว่าเรามีชีวิตอยู่ทุกวันได้เพราะอะไร คนที่เขาให้เรามาบางทีเขาไม่ได้จดจำเพราะมั่นเป็นการให้ที่แท้จริง แต่การที่เราได้รับนั้นหมายถึงการได้ส่วนบุญที่ดีมา มันเปลี่ยนชีวิตเรามากเพียงพอที่เราควรจะจดจำว่าเรามาถึงฝั่งฝันนี้ได้อ่างไร มีใครบ้างที่ช่วยพยุงเรา ขณะที่เราว่ายน้ำข้ามมหาสมุทรมา การระลึกถึงพระคุณของคนเป็นสิ่งที่มนุษย์ประเสริฐเขาทำกัน

21) คนที่เป็นผู้ให้ ในชีวิตผมมีมากและผมไม่มีวันที่จะลืมได้เลย ภรรยาผม เขาไม่เคยนึกถึงตัวเองเลย เขานึกถึงแต่ว่าทำอย่างไรสามีเขาจึงจะหาย ผมเรียนเรื่องธรรมชาติบำบัด ผมรู้สึกเอาเองว่าผมรับพลังดี ๆ จากธรรมชาติมาเยอะ เรียนรู้ที่จะรับพลังธรรมชาติจากต้นไม้ ใบหญ้า ผมรับรู้ถึงความปรารถนาดี ความหวังดีของคนจำนวนมาก คนเหล่านี้เป็นคนที่ผมไม่มีวันลืมไปจากชีวิตนี้ แล้วก็ขอเจอกันทุกชาติไป ผมคิดว่าถ้าผมจะหาย ก็ได้ด้วยพลังรักที่เขามีต่อผม

22) ทุกวันนี้ผมมองทุกอย่างด้วยสายตาเป็นกลางมากขึ้น ผมมองว่าถ้ามันจะเป็นความรู้สึกที่สุด ผมก็จะไม่ดีใจจนเกินเหตุ หรือ ถ้ามันจะทุกข์นัก ผมก็จะไม่ทุกข์มาก ผมจะอยู่ตรงกลางด้วยความหวังว่าวันของเราจะต้องมาถึง เราได้ฟังเรื่องมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้นกับคนหลายคนที่เป็นมะเร็ง
ใจผม ก็อยากให้สิ่งนี้เกิดขึ้นกับผมบ้าง เมื่อไหร่ปฏิหาริย์จะเกิดขึ้นกับผมสักที ผมท้อแท้บ้าง แต่ผมไม่ยอมแพ้พ่าย ทำไมยังเจ็บปวด เศร้า ทุกขเวทนาอยู่เรื่อย แต่ผมปฏิเสธที่จะตายไปกับโรคนี้


23) “ผมเสียใจอยู่ตลอดมาที่มีเวลาให้ กับครอบครัวน้อยเกินไป อยากบอกลูกว่า ถ้าพ่อเลือกได้ พ่อคงอยู่บ้านให้มากกว่านี้

Source: eduzones.com, จีเอ็ม ฉบับเดือน พฤษภาคม 2549 หน้า 232-233

Monday, April 23, 2012

อาการเบื่องาน

บทความสำหรับมนุษย์เงินเดือนที่น่าสนใจอีกเรื่องเกี่ยวกับอาการเบื่องาน จากบล็อกความรู้ WiseKnowโดย พอใจ พุกกะคุปต์

ดิฉันมีอาชีพในการพัฒนาบุคลากร จึงโชคดีได้มีโอกาสเข้าไปเห็นเบื้องหลังการถ่ายทำขององค์กรน้อยใหญ่
สิ่งหนึ่งที่ค้นพบ คือ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรทั่วไป หรือองค์กรที่มีชื่อเสียงยิ่งใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ ต่างล้วนมีปัญหามากมาย ที่น่าสนใจคือ หลายปัญหาหน้าตาเหมือนกัน
ปัญหาเหล่านี้มีอาทิ ปัญหาเรื่องการสื่อสาร สื่อเท่าไรไม่เข้าใจกัน กระหน่ำสื่อเท่าไรก็ยังไม่ทั่วถึง แม้สื่อซ้ำๆ แต่ก็เหมือนย้ำไม่พอ
ปัญหาเรื่องการนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลง รู้ทั้งรู้ว่าต้องขยับ ต้องปรับ ต้องเปลี่ยน เขียนเป็นแผนกลยุทธ์มี Strategy Map หรูหรา มี KPI ที่เขาใช้ในระดับโลก มี BSC มี IDP มี PMS มี A-Z มีสารพัดจัดเต็ม
ไม่มีอย่างเดียวคือ การเปลี่ยนแปลงที่ต้องการ
ปัญหาเรื่องหัวหน้างาน ที่เก่งทุกอย่างยกเว้นการสร้างขวัญและกำลังใจให้ผู้ใต้บังคับบัญชา เก่งทุกอย่างแต่ไม่สร้างผู้นำยุคต่อไป เก่งทุกเรื่องแต่จะเคืองหากถามว่าวางอนาคตเติบโตก้าวหน้าให้ลูกทีมแล้วหรือยัง หรือเก่งทุกอย่างแบบหาตัวจับยากหากไม่นับเรื่องงาน
ข่าวร้ายข้างต้น หากค้นเขี่ยดีๆ จะเห็นว่ามีข่าวดีสำหรับเราคนทำงาน
ปัญหารุ่มร้อนนอนไม่หลับคับข้องใจในที่ทำงาน ล้วนเป็นปัญหาที่คนส่วนใหญ่หนีไม่พ้น ต้องประสบพบพานในงานของตน ต่างเพียงมีมากบ้าง น้อยบ้าง มาเร็วบ้าง ช้าบ้าง ต่างกรรมต่างวาระ
ดังนั้นท่านไหนที่กำลังท้อ กำลังเบื่อหน่าย อยากขายบริษัท (เพียงแต่ยังทำไม่ได้เพราะไม่ใช่เจ้าของ) จึงกำลังมองหาที่ทำงานใหม่ แต่ยังหาไม่ได้เพราะตระหนักว่าออกไปก็เสี่ยง อาจเป็นการเลี่ยงเสือกลับปะจระเข้ยักษ์ กรุณาอย่าเพิ่งยอมแพ้แก่โชคชะตา หรือโทษโกรธใครๆ ให้เสียเวลา เสียพลังใจ
เพราะยังมีหลายสิ่งที่เราทำได้ ตั้งสติเริ่มใหม่ ลองเลือกใช้วิธีการเหล่านี้ค่ะ
1. ลุกขึ้นมาหารือกับหัวหน้างานเพื่อขอปรับเปลี่ยนบทบาทหรือเนื้องานบางส่วน หารือกับหัวหน้าอย่างมีสติ สุขุม ถึงปัญหาที่พบ และเสนอแนะทางเลือกที่จะทำให้เกิดประโยชน์สูง ทั้งสำหรับองค์กร ทีมงาน และตัวหัวหน้าเอง
คำเตือน: กรุณาอย่าหารือโดยมุ่งเน้นที่ปัญหาและประโยชน์ที่จะเกิดกับตัวผม ผม และ ผม
หามุมสำคัญให้พบว่า หากปรับบทบาทตามเสนอ ประโยชน์จะตกกับท่านหัวหน้า และหน่วยงานอย่างไรด้วย..สวยกว่ามาก
2. ขอโอกาสทำงานกับบุคคลอื่นบ้าง หากงานปัจจุบันอึดอัดนัก อาจหาโอกาสพักคลายจากความกดดัน โดยขอผันเวลาบางส่วนไปทำงานร่วมกับทีมอื่น อาทิ ทำกับทีม Sales อื่นในฝ่ายเดียวกัน หรือ ขออยู่ในโครงการเฉพาะกิจของ HR ที่ต้องการความร่วมมือร่วมใจจากทุกทีม หรือ มีโครงการที่หน่วยงานใช้ที่ปรึกษาจากภายนอก ก็ลุกขึ้นมาบอกหัวหน้าว่า ขออาสามีส่วนร่วม เพราะต้องการเรียนรู้ซึมซับ จะได้กลับไปใช้ในทีม
แม้มิได้อึดอัดกับใครในฝ่ายเดียวกัน แต่การได้เปิดหู เปิดตา หาเพื่อนร่วมงานใหม่ ก็ถือเป็นการสร้างสีสันในชีวิตการทำงาน ยิ่งหากขยันเรียนรู้ ดูคนอื่นอย่างตั้งใจ เราจะได้เรียนจากมุมใหม่ เป็นกำไรทั้งสิ้น
นอกจากนั้น การสร้างเครือข่าย สร้างความสัมพันธ์อันดีกับใครๆ มีแต่ได้กับได้ ไม่มีเหนื่อยฟรี
3. ขอผันกายไปทำงานฝ่ายอื่น หากสุดทดท้อ การขอย้ายงานก็เป็นอีกหนทางหนึ่ง ซึ่งสามารถสร้างมิติใหม่ในการทำงาน โดยไม่ต้องไปเผชิญโชคหางานใหม่ในองค์กรใหม่ หากยังไม่ถึงเวลา
ยิ่งถ้าได้ปูทางจากวิธีการในข้อ 2 น่าจะมีคนพร้อมโอบอุ้มรับเราให้ไปอยู่กับเขา เพราะเราเคยแสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์ ได้ทำตนเป็นคนน่ารัก น่าเชื่อถือ พร้อมให้ความร่วมมือมาก่อน
ก่อนคุยกับหัวหน้างาน กรุณาทำการบ้านในการมองหาจุดที่หากขยับไป น่าจะได้ประโยชน์กับทุกฝ่าย อย่าเข้าไปตีโพยโวยวายว่าขอย้ายงาน โดยฝันหวานว่าหัวหน้าจะเนรมิตทางออกที่แสนถูกใจให้โดยเราไม่ต้องทำการบ้านให้เหนื่อยยาก
นอกจากนั้น ต้องเตรียมเสนอแนวทางอุดช่องโหว่ว่า เมื่อเราขยับไปที่ใหม่ มิใช่แค่จะสะบัดอวัยวะไป แต่ไปด้วยความรับผิดชอบ ช่วยวางกรอบไว้ว่างานเก่าเราจะสอนใคร จะผ่องถ่ายอย่างไร ให้หัวหน้ามั่นใจว่าไม่เสียงานให้ท่านเดือดร้อน
คำเตือน: หากต้องการมีทางเลือกนี้ ยิ่งต้องตั้งสติให้มั่นว่า ยามเซ็งและท้อ ยิ่งต้องไม่นั่งงอก่องอขิง ยิ่งต้องตั้งใจทุ่มให้มีผลงาน เพราะหากปล่อยให้จิตต่ำ งานตก จนถูกยกเป็นมนุษย์มีปัญหา ย่อมยากที่จะมีที่สิงสถิตใหม่
4. ขอปรับเวลาการทำงาน อีกหนึ่งประเด็นที่เป็นปัญหากับคนทำงานจำนวนไม่น้อย คือความกดดันเรื่องเวลาทำงานและเวลาที่ต้องให้กับภาระอื่นใดในชีวิต
ทดลองหาข้อเสนอใหม่ๆ ในการทำงานให้ได้ผลลัพธ์ลุล่วง โดยไม่ยึดติดกับเวลามาตรฐานในการเข้างาน เช่น พร้อมอยู่ดึกหากได้เข้างานสาย พร้อมรับงานชิ้นใหม่หากให้ทำที่บ้านบางส่วน
คำเตือน: ย้ำว่า การขออะไร อย่าเอาตัวเราเป็นศูนย์กลางของจักรวาล ให้คิดเผื่อใจในมุมของหัวหน้า ว่าทำอย่างไรให้เขาเห็นประโยชน์ร่วมกัน
5. เปลี่ยนบรรยากาศห้องหรือโต๊ะทำงาน ยังปรับอะไรไม่ได้ดั่งใจ ก็สามารถลุกขึ้นมาปรับขยับในส่วนที่เป็นของเรา ให้คลายเหงา เศร้าซึมน้อยลง เช่น โต๊ะที่รกหมกเอกสารไว้นานนับปี ก็ลุกขึ้นมาจัด ปัดฝุ่น วางดอกไม้ ย้ายของ ให้มองโล่งโปร่งตา น่าจะช่วยให้มีกำลัง เพิ่มพลังได้ ไม่ต้องรอง้อใครให้มาช่วย
6. หมั่นรักษาสุขภาพร่างกายและใจ ไม่ให้ละเหี่ยเพลียใจเปลี้ยกาย จนกลายเป็นวงจรอุบาทว์
ยิ่งใจล้า ยิ่งต้องหาพลังเติมเสริมทางกาย ไม่ว่าจะเป็นอาหาร การพักผ่อนให้เพียงพอ และขอเวลานอกออกกำลังกายคลายเครียด
ร่างกายที่พร้อม ย่อมไม่บั่นทอนพลังใจและพลังสมอง ที่ยิ่งต้องใช้หนักยามสถานการณ์ไม่เอื้อให้เบิกบานเพราะงานเข้า
7. หาที่ปรึกษาเพื่อระบายความในใจและให้แนวทาง ความอึดอัดในใจที่ล้นปรี่ ต้องหาที่ปลดปล่อยอย่างค่อยเป็นค่อยไป อย่าปล่อยให้อัดใจจนระเบิดเกิดปัญหา โดยเฉพาะต้องหลีกเลี่ยงการเหวี่ยงกระทบกระแทกมั่วทั่วไป จนใครๆ เอือมระอา
คำเตือน: ผู้ที่เราจะเล่าความอึดอัดในใจ กรุณาเลือกให้เหมาะ เพราะหากเขาเล่าต่อ ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ อาจทำให้ปัญหาหนักหนาสาหัสขึ้น
เลือกเพื่อนหรือที่ปรึกษาที่ไว้ใจนอกองค์กรก็ได้ ไม่ผิดกติกา จะได้ไม่เกิดปัญหาตามมาภายหลัง
สรุปว่า ปัญหาหนักหนาคาใจในที่ทำงาน เป็นเรื่องแสนปกติธรรมดา ไม่ช้าก็เร็ว ต้องประสบพบบ้าง จะหนีไปที่ไหน ไม่ต้องแปลกใจเมื่อพบเขานั่งตั้งใจดักรอเราที่นั่น
หากยังเลือกที่จะอยู่ในองค์กรปัจจุบันต่อไป ต้องไม่นิ่งดูดาย ตีโพยตีพายว่าไม่มีใครดูแล เพราะตนต้องเป็นที่พึ่งแห่งตนเป็นคนแรก
หากไม่สู้ ถือว่าปิดประตูชนะแบบแน่นสนิท ไม่ต้องคิดมากค่ะ
Source: พอใจ พุกกะคุปต์ http://www.wiseknow.com

สร้าง 5 นิสัยนี้ แล้วคุณจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

บทความน่าอ่านจาก Wiseknow เกี่ยวกับการสร้าง 5 นิสัยนี้ แล้วคุณจะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น สนใจอ่านเพิ่มเติมติดตามต่อได้ที่เวปของ wiseknow.com มีสาระอีกมากให้ได้ติดตามกันครับ
นิสัยข้อ1 : เบรควันละนิด จิตแจ่มใส
ถ้าในขณะที่เพื่อนร่วมงานของคุณใช้เวลาว่างนิดๆ หน่อยๆ มานั่งจิบกาแฟ หรือยกโขยงกันไปรับประทานอาหารกลางวัน แต่ตัวคุณกลับนั่งจมจ่อมทำงานอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ทั้งวี่วันโดยไม่คิดจะขยับก้นลุกไปไหนล่ะก็ ขอให้เลิกเถอะ นิสัยแบบนั้น! เพราะการที่คุณคร่ำเคร่งกับงานแบบไม่ยอมเปลี่ยนอิริยาบถน่ะ ไม่เพียงจะส่งผลร้ายต่อสุขภาพ แต่ยังส่งผลเสียต่องานด้วย

จริงอยู่ การนั่งทำงานอย่างขยันขันแข็งเป็นเรื่องที่ดี แต่ไม่จำเป็นต้องถึงขั้นไม่ยอมให้ตัวเองได้ลุกขึ้นไปทานอาหารระหว่างวัน หรือหาเวลาไปจิบกาแฟผ่อนคลายอารมณ์อย่างใครเขาและไม่ควรอย่างยิ่งที่จะทำตัวขยันจนหอบอาหารมานั่งทานหน้าจอคอมพ์ เพราะนอกจากร่างกายจะรับสารอาหารได้ไม่เต็มที

เนื่องจากการรับประทานอย่างเร่งรีบแบบลวกๆ ทั้งไม่ใส่ใจในคุณภาพของอาหารเท่าที่ควรแล้ว สมาธิซึ่งถูกแบ่งให้ไปอยู่ที่จานข้าวในมือและไปอยู่ที่หน้าจอคอมพิวเตอร์พร้อมๆ กันนั้น ในที่สุด ก็จะส่งผลให้คุณไม่สามารถทำงานได้เต็มประสิทธิภาพ เพราะไม่สามารถจดจ่อกับงานได้ดีพอ เช่นที่ Christine Hohlbaum นักเขียนเจ้าของผลงาน The Power of Slow : 101 Ways to Save Time in Our 24/7 World บอกไว้ว่าการทำงานไปด้วยกินและข้าวไปด้วยน่ะ มันไม่ได้ช่วยให้คุณมีสมาธิกับงานได้ดีนักหรอกนะ

คริสตินแนะนำว่า คุณควรจะแยกแยะเวลาให้เป็น เมื่อถึงเวลาพักรับประทานอาหาร ก็ควรจะทานอย่างเป็นกิจลักษณะ ให้ร่างกายได้พักและท้องได้อิ่มอย่างพอเหมาะพอดีโดยไม่ต้องพะวักพะวนกับงานบนโต๊ะ

นอกจากนั้น เธอยังแนะนำว่า ในแต่ละช่วงของวัน เช่น ก่อนเริ่มงานในตอนเช้า ประมาณ 5 นาที หรือก่อนเริ่มงานช่วงบ่ายประมาณ 10-15 นาที ลองหาวิธียืดเส้นยืดสาย เช่น เดินออกกำลังกาย, อ่านหนังสือที่ทำให้รู้สึกเพลิดเพลิน, ชวนเพื่อนร่วมงานพูดคุยเพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลาย, ทักทายคนรอบข้างด้วยอัธยาศรัยไมตรี , หรืออาจพักสายตาด้วยการเหม่อมองวิวนอกหน้าต่างบ้าง
แม้อาจเป็นกิจกรรมระหว่างวันที่ดูเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่วิธีผ่อนคลายง่ายๆ อย่างที่กล่าวมานี่แหละ จะช่วยให้คุณสดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมาทันตาเห็น และพร้อมรับมือกับงานที่เหลืออยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นิสัยข้อ2 : อย่า จัดหนักมื้อกลางวัน! เพราะหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อน

You are what you eat คำกล่าวนี้ยังคงเป็นจริงเสมอ สำคัญกว่านั้น ยิ่งถ้าคุณทานเยอะ หรือทานอาหารหนักๆ ในมื้อกลางวัน สิ่งที่ทานเข้าไปก็จะส่งผลให้คุณเกิดอาการง่วงเหงาหาวนอนในช่วงบ่าย สมดังคำที่ว่าเมื่อหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนดังนั้นถ้าคุณไม่อยากง่วงเหงาหาวนอนพาลให้เฉื่อยชาซึมกะทือ ก็ควรจะเปลี่ยนจากอาหารหนักๆ อย่างพาสต้าจานโตหรือข้าวมันไก่แบบพิเศษเน้นข้าวเน้นหนัง มาเป็นอาหารจานเบาๆ อย่างสลัด หรือไม่ก็ขนมขบเคี้ยวเล็กๆ อย่างคุ้กกี้หรือขนมปังกรอบบ้างก็ได้

เพราะการกินเยอะในมื้อเที่ยงแล้วทำให้ง่วงในช่วงบ่ายนั้น ไม่ใช่เรื่องที่พูดกันเล่นๆ ไร้สาระ แต่มีข้อมูลทางโภชนาการยืนยันด้วย ดังคำแนะนำจาก Kari Kooi ผู้ช่วยนักโภชนาการ แห่ง The Methodist Hospital in Houston กล่าวว่า

การกินอาหารปริมาณเยอะๆ จะทำให้คุณเกิดความรู้สึกง่วงเหงาหาวนอน นั่นเป็นเพราะร่างกายต้องใช้พลังงานอย่างมาก ในการดูดซับสารอาหาร
เมื่อเป็นเช่นนั้น คุณก็ควรลองเลือกทานอาหารที่มีคุณภาพ และขณะเดียวกันร่างกายก็สามารถดูดซับได้ง่าย เช่นพืชผัก ธัญญาหาร หรือข้าวกล้อง ส่วนโปรตีนนั้น อาจลองเปลี่ยนจากเนื้อชิ้นโตเป็นเนื้อปลาหรือเนื้อไก่ดูบ้าง และควรหลีกเลี่ยงอาหารแช่แข็งตามร้านสะดวกซื้อ เพราะไม่มีสารอาหารที่ร่างกายต้องการอย่างเพียงพอเทียบเท่าอาหารปรุงสด

นอกจากนั้น คาริยังแนะนำเพิ่มเติมว่า หากระหว่างวันทำงานที่ยังเหลืออีกหลายชั่วโมง คุณเกิดหิวขึ้นมาอีก ให้ลองหาขนมขบเคี้ยวจำพวกถั่วหลากหลายชนิดมาเคี้ยวเพลินๆ ก็นับเป็นการแก้หิวที่มีประโยชน์ หรือไม่ก็อาจคลายหิวด้วยคุ้กกี้หรือขนมปังกรอบชิ้นเล็กๆ ก็ได้
คาริย้ำว่า ไม่จำเป็นต้องทานให้อิ่มจนเกินไปนัก เพียงแค่คลายหิวและทานขนมบ้างเล็กน้อยเพื่อรักษาระดับน้ำตาลในเลือดเอาไว้ เพียงเท่านั้น ก็จะทำให้คุณกระปรี้กระเปร่าได้ตลอดทั้งบ่ายไปจวบจนเลิกงานโดยไม่ต้องอ้าปากหาวและฝืนทนกับอาการง่วงงุนเหมือนที่เคย

หลายสิ่งหลายอย่างในชีวิตมักเป็นเรื่องเกินคาดเดา แต่สำหรับเรื่องที่เราสามารถควบคุมได้ การจดลิสต์ (list) หรือทำบันทึกจัดลำดับความสำคัญสิ่งที่ต้องทำก่อน-หลัง ก็นับเป็นหนึ่งในวิธีที่ช่วยเสริมการทำงานให้มีประสิทธิภาพ เพราะหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้นมาอาทิ วันนี้ อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับนำเสนอผลงานเกิดชำรุด ใช้การไม่ได้ สำหรับบางคนอาจตกอกตกใจจนขาดสติ แต่ถ้าคุณมีอุปนิสัยที่มักจดบันทึกสิ่งต่างๆ และคอยจัดลำดับหัวข้อการทำงานเอาไว้เสมอ อาจทำให้คุณสามารถนำเสนอผลงานต่อหัวหน้าและที่ประชุมได้อย่างน่าสนใจโดยไม่ต้องพึ่งพาอุปกรณ์เหล่านั้น

เห็นไหม ว่าการเผชิญปัญหาในยามหน้าสิ่วหน้าขวานได้อย่างมีสติและรับมือกับมันได้อย่างมืออาชีพนี่แหละ ย่อมทำให้เพื่อนร่วมงานชื่นชมในตัวคุณ เพราะฉะนั้นอย่ามองข้ามการจดบันทึกเป็นอันขาด ฝึกให้เป็นนิสัย แล้วมันจะช่วยจัดความคิดของคุณเป็นระบบระเบียบมากขึ้น ไม่ต่างจากที่ Vicki Milazzo ผู้เขียนหนังสือ Wiked Success Is Inside Every Woman พูดไว้ว่า

ผู้คนไม่น้อยรู้สึกว่าเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากแผนที่ตนวางไว้คือ หายนะของชีวิต แต่สำหรับคนอีกกลุ่มหนึ่ง พวกเขากลับมองว่าผลกระทบจากความเปลี่ยนแปลงนั้น ก็เป็นเพียงแค่ส่วนเล็กๆ ที่สามารถรับมือได้ลองเลือกดูก็แล้วกัน ว่าคุณจะเป็นอย่างไหน!?

นิสัยข้อ4 : กล้าที่จะปฏิเสธอย่างนุ่มนวลแต่หนักแน่น

ท้ายที่สุด เคล็ดลับสำคัญของคนทำงานที่มีประสิทธิภาพ ทำงานได้อย่างมั่นอกมั่นใจไร้แรงกดดันก็คือ พวกเขาเหล่านั้นมีความกล้าหาญ ชัดเจน และซื่อสัตย์ต่อความรู้สึกของตัวเอง พวกเขารู้ว่า เมื่อใดควรจะปฏิเสธเพื่อนร่วมงานหรือผู้บังคับบัญชา และปฏิเสธอย่างไรให้แลดูสุภาพ นุ่มนวล แต่ก็หนักแน่นที่สุดเช่นกัน ซึ่งอาจมีหลากหลายวิธีให้คุณลองนำไปปรับใช้ตามแต่ละสถานการณ์

สำหรับกรณีที่คุณมีเพื่อนร่วมงานหรือมีเจ้านายจู้จี้ขี้บ่น คุณอาจแก้ปัญหาแบบเบาะๆ ด้วยการใช้ อวัจนภาษาหรือภาษากายแบบไร้คำพูด นั่นก็คือ ใช้วิธีสวมหูฟังอันใหญ่ๆ และตั้งหน้าตั้งตาพิมพ์งานของตัวเอง เพื่อแสดงให้เห็นว่าคุณกำลังยุ่งและจดจ่อกับงานสำคัญ อยู่ในโลกส่วนตัวที่ไม่อยากสนทนาหรือให้ใครเข้ามากวนในเวลานั้น

แต่สำหรับในกรณีที่คุณได้รับมอบหมายงานที่เกินเลยขอบข่ายความรับผิดชอบไปมากโข หรือเกิดเหตุการณ์เข้าใจผิด หรือมีการไหว้วานในเรื่องใดๆ ที่คุณรู้สึกว่าไม่เหมาะสมและไม่ใช่สิ่งที่คุณควรทำ วิธีที่ดีที่สุดคือ การบอกปฏิเสธไปตรงๆ ให้ชัดเจน หรืออาจใช้วิธีอะลุ้มอล่วยด้วยการขอให้หัวหน้าจัดลำดับความสำคัญ และชี้แจงถึงรายละเอียดของเนื้องานที่เขาต้องการให้คุณทำ หากไม่ใช่งานที่คุณถนัดนักก็บอกไปตามตรง แต่ขณะเดียวกันก็ขอรับฟังคำแนะนำอันเป็นประโยชน์ด้วย
โดยทั่วไปแล้ว เมื่อลูกน้องเอ่ยคำว่า ไม่หัวหน้าส่วนใหญ่ก็มักเข้าใจได้ในทันทีว่าผู้ที่อยู่ใต้บังคับบัญชาไม่แฮปปี้นักกับชิ้นงานที่ถูกมอบหมายให้ แต่ไม่ว่าอย่างไร ก็อย่าลืมเด็ดขาดว่าการเอ่ยปฏิเสธในแบบของคุณนั้น ต้องไม่ทำให้หัวหน้ารู้สึกว่าคุณเป็นศัตรูกับเขา

คุณควรหาวิธีที่ทำให้เขารู้ว่าสิ่งที่คุณทำเสมอมาและจะทำตลอดไปก็คือ การทำงานเพื่อเขา และเพื่อองค์กรนั่นเอง เพียงแต่งานครั้งนี้มันเกินความสามารถที่คุณจะรับมือได้ไหว หากมีศิลปในการพูดและมีความกล้าที่จะเปิดเผยอย่างจริงใจ ตรงไปตรงมา ก็คงไม่มีหัวหน้าที่ไหนจะใจไม้ไส้ระกำ หักน้ำใจหรือฝืนใจลูกน้องได้ลงคอ

นิสัยข้อ5 : ทำงานอย่างเต็มความสามารถ ด้วยลีลาของมืออาชีพ

จริงอยู่ ไม่มีใครในโลกสมบูรณ์แบบ 100% แต่สำหรับความสมบูรณ์แบบในการทำงานนั้น เราทุกคนสามารถสร้างขึ้นมาได้ด้วยการสั่งสมประสบการณ์ ผสานกับความมุ่งมั่นตั้งใจและรู้จักบริหารจัดการ จัดสรรเวลาให้พอเหมาะพอดี แน่นอนว่าการกดดันตัวเองให้ทำงานออกมาให้ดีที่สุดนั้น อาจไม่ใช่หนทางที่เหมาะนัก เพราะจะทำให้คุณเครียดกับงานจนเกินไป กระทั่งอาจเกิดความรู้สึกต่อต้าน ซังกะตายและขาดความกระตือรือร้น

ดังนั้น หนทางที่จะช่วยให้คุณทำงานออกมาได้อย่างเปี่ยมประสิทธิภาพและทำงานได้อย่างเต็มศักยภาพของตน จึงไม่พ้นการรู้จักแสวงหา สมดุลค้นให้พบถึงหลักการทำงานอย่างมืออาชีพ การทำงานแบบเก๋าเกม ทำงานอย่างคนที่มีชั่วโมงบินสูง เคยสงสัยไหมว่าอะไรทำให้คนรุ่นเก๋าเหล่านั้น สร้างงานเจ๋งๆ ได้โดยที่พวกเขาไม่เคยมีทีท่าหมองหม่น เก็บกด หรือเคร่งเครียดจนเกิดอาการประสาทรับประทาน

เคล็ดลับที่ว่านั้น อาจอยู่ที่คำจำกัดความสั้นๆ อย่าง สมดุลนี่เอง มันคือเส้นแบ่งระหว่างการทุ่มเทให้สุดตัวสุดใจและการรู้จักถอยมาตั้งหลักเพื่อมองภาพรวม เพราะเมื่อนั้น คุณจะเห็นอะไรๆ ชัดขึ้น และแก้ปัญหาได้ตรงจุด ส่งผลให้งานไร้จุดบอดจนแทบจะเรียกได้ว่า สมบูรณ์แบบในที่สุด


"จอร์จ ตัน"เผยเทคนิคเซียนหุ้นขาใหญ่


รู้เขา รู้เรา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง ก่อนจะทำศึก นอกจากคุณจะสำรวจความพร้อมของตัวเองให้ดีแล้ว คุณจะจำเป็นต้องสนใจพฤติกรรมและกลยุทธ์ของคู่ต่อสู้ ในตลาดหุ้นก็เช่นกัน คุณจำเป็นต้องเรียนรู้กลเม็ดเผด็จศึกของขาใหญ่ ที่คอยวางแผนจะกินเงินคุณทุกวินาที คุณต้องคอยเงี่ยหูฟังว่ารายใหญ่เขาคิดอะไรกันอยู่ รับรองว่าหลังจากอ่านบทความนี้แล้ว คุณจะเข้าใจหลักการของตลาดหุ้นมากขึ้น ซึ่งหวังว่าจะทำให้คุณเป็นอีกคนที่ร่ำรวยจากตลาดหุ้น.....

"จอร์จ ตัน" หรือ เอกยุทธ อัญชันบุตร เซียนหุ้นขาใหญ่ เปิดเผยว่า คนที่เล่นหุ้นระดับ 1
,000 ล้านขึ้นไป มีไม่เกิน 30 คน ที่เล่นหุ้นระดับ 2,000 ล้านบาทขึ้นไปมีอยู่ 4-5 คนในตลาด

"พวกนี้จะรู้จักกันเองผ่านหน้าจอคอมพิวเตอร์ ซึ่งจะมาชนกันในตลาด จะรู้เลยว่าซื้อขายสไตล์นี้ใครเล่น ถ้าเห็นลักษณะการขายที่รุนแรงออกมา จะรู้ได้ว่าเขาถือ "ต้นทุนต่ำ" ได้กำไรกลับออกไปเยอะ คนพวกนี้เกี่ยวข้องกับกลุ่มทุนรัฐบาล"

รายใหญ่จะวนเวียนกับโบรกเกอร์ 5-6 แห่ง ใครก๊วนใคร หุ้นตัวนี้ "ทุ่น" ของใครสามารถยกหูเช็คข้อมูลง่ายมากผ่านโบรกเกอร์ที่ตัวเองใช้บริการ ข่าวสารสำหรับรายใหญ่ค่อนข้าง "แม่นยำ" แต่บางครั้งก็มี "ข่าวลวง" ถูกปล่อยออกมาเช่นเดียวกัน

"การลากหุ้นบางครั้งจะลากครั้งละ 2-3 มือ(ตัว)พร้อมกัน พวกนี้จะมี "วอร์รูม" (ห้องปฏิบัติการ) บางกลุ่มชอบไปคุยกันในร้านอาหารว่าจะเล่นตัวไหนดี"

ชื่อย่อถูกเรียกขาน และรู้กันเองในหมู่เซียน ภาษาที่ "เซียน" ใช้กันในตลาด
เอกยุทธ เล่าให้ฟังว่า คนที่ตกใจรีบขายหุ้นราคาถูกออกมาเขาเรียกว่า "ขายหมู" คำว่า "ซื้อยกไม้" หมายถึงการเก็บหุ้นเพื่อไล่ราคา "ทุ่นใคร" หมายถึง "หุ้นตัวนี้ของใคร"
กฎการทำกำไรของเซียน "จังหวะ" นั้นสำคัญที่สุด เอกยุทธบอกว่า คุณต้องรู้วิธีเข้า และวิธีออก แต่ไม่ใช่รู้วิธีเข้าๆ ออกๆ คนที่เข้าเร็วออกเร็วไม่มีทางรวยหุ้น..."เชื่อผม!!!"

จังหวะตลาดสำคัญมากในการกำหนด "กำไร" ในช่วงที่ตลาดหุ้น "ขาลง" หรือ"ไซด์เวย์" รายใหญ่ที่ชอบกินคำใหญ่ๆ จะถอนตัว พวกที่เล่นจะใช้วิธี "วิ่งราว" หรือ "วิ่งเร็ว" กำไร 2-3 ช่อง (ช่วง) ราคา..."หนี"

"ช่วงที่จังหวะตลาดไม่ดี เวลาไล่หุ้นเขาจะ "ซื้อขึ้น" จะใช้วิธีกวาดทีเดียว 3-4 ช่อง ล่อพวกตามแห่ ถ้าอยู่ดีๆ ช่อง
Offer หายไป 3-4 ช่อง คนจะรีบคีย์คำสั่ง Bid (ซื้อ) ตามเข้ามา จากนั้นเขาจะลากขึ้นไป "ปล่อยของ" เหลือกำไร 2-3 ช่องก็ทิ้ง รายใหญ่ที่เล่นหุ้นในลักษณะนี้เขาเรียกว่าพวก "ฟาสต์ฟู้ด" (กินเร็ว) กินคำเล็กแล้วรีบออก"

เอกยุทธ ย้ำว่านักเล่นหุ้นที่มือระดับเซียน เขาไม่มานั่งดูเทคนิคแล้วซื้อๆ ขายๆ แต่เขาจะเก็บข้อมูลหุ้นเป้าหมาย ต้องรู้หมดทุกเรื่องเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น
"Free Float" (จำนวนหุ้นหมุนเวียน)ในตลาด "หน้าตัก" เจ้าของหุ้น ดูว่าเจ้าของหุ้น "เซียน" แค่ไหนถือหุ้นกี่เปอร์เซ็นต์ แล้วติดต่อขอนัดคุย จากนั้นถึงมาเลือกกลยุทธ์ในการเก็บหุ้นว่าจะใช้วิธี "ทุบ" หรือจะค่อยๆ เก็บ
"ขั้นตอนทั้งหมดนี้จะต้องทำควบคู่ไปกับขบวนการสร้างข่าว"

เขาเล่าว่า นักเล่นหุ้นที่พบมีหลากหลายประเภท ทั้งดูกราฟ ดูเป้าหมายราคา มีจุดตัดลากกันมั่วไปหมด แล้วก็มีอีกประเภทหนึ่งฟังข่าวลือในตลาดอย่างเดียว พวกนี้สั่งซื้อหุ้นยังไม่รู้เลยว่าบริษัททำธุรกิจอะไร ประเภทนี้ในตลาดหุ้นมีเยอะ..."เจ๊งลูกเดียว"

"ประเภทเซียนตัวจริง ข่าวลือมาไม่สนใจ ส่วนผมชอบ "ขี่หุ้น" ก็ไม่รู้ว่าจัดอยู่ประเภทไหน ผมจะให้น้ำหนักกับ "วอลุ่ม" มากกว่าสัญญาณทุกอย่าง หุ้นไม่มีวอลุ่มผมไม่เล่น ผมไม่ได้ให้ความสำคัญกับเทคนิค
รู้ว่าตัวไหนกำลังถูกเก็บก็จะเข้าก่อน เวลาออกก็จะหนีก่อน"

หุ้นที่เอกยุทธเล่นจะเลือกหุ้นที่มีโอกาสขายทำกำไรมากกว่า 10% ขึ้นไป จังหวะที่ตลาดไม่ดีเขาจะออกจากตลาด เพราะฉะนั้น กำไรมากหรือน้อยมันบอกเป็นกฎตายตัวไม่ได้ ต้องดูแนวโน้มของหุ้น ดูแนวโน้มตลาดว่ามันขึ้นมาแล้วกี่แต้ม(จุด)
"ช่วงที่ขึ้นจาก 605 แต้มขึ้นไป 800 แต้ม ใช้เวลา 2 เดือน ตลาดกำลังบ้าเลือด ช่วงนี้ผมได้กำไรเยอะมาก ไปเก็บไว้ก่อนช่วง 600-605 จุดเทหมดหน้าตัก"

ในการลงทุนของเอกยุทธ จะซื้อครั้งละไม่เกิน 4-5 ตัวมากที่สุด หุ้นที่เขาเล่นมีกฎตายตัวว่าต้องมีสภาพคล่องสูง และมีวอลุ่มแน่น (เท่านั้น)...."เช่น
PTT BANPU ผมได้กำไรมาเยอะ" ช่วงนั้นจะเข้าแต่ตัวใหญ่ๆ ตัวละหลายร้อยล้านบาท

เอกยุทธ บอกว่า พวกกองทุนใหญ่ๆ ในต่างประเทศที่เข้ามาเล่นหุ้นไทย มันจะวนเวียนมาเจอกันในตลาด เขาเคยเจอ "จอร์จ โซรอส" มาแล้วหลายตลาด ไปเจอกันที่ลอนดอน ตอนไปทุบค่าเงินปอนด์

"ตอนจอร์จ โซรอสทุบเงินบาทปี 2540 ผมอยู่มาเลเซีย ช่วงนั้นหายนะประเทศไทยผมอยู่ข้างนอกมองเห็นหมด ยังโทรมาบอกเพื่อนๆ ว่าขายทรัพย์สินให้หมด เก็บเงินสดไว้เดี๋ยวจะได้ซื้อของถูก"
ถ้าคุณอยากเป็นรายใหญ่ เขาย้ำว่า กฎของรายใหญ่มีเพียง 2 ข้อเท่านั้น
หนึ่ง คุณต้องมี "เงินสด" ติดกระเป๋า กับอีกข้อ
?อย่าโลภ? (เด็ดขาด)
"ถ้ารู้ว่าเข้าจังหวะผิดต้อง "ทิ้ง? เขาเรียกว่า Cut Loss (ตัดขาดทุน) และ Let Profit Run (ปล่อยให้กำไรวิ่งต่อไป) ช่วงที่หุ้นกำไรดีราคากำลังขึ้น ผมจะไล่ราคาตลอด สมมติว่าราคา 2 บาท กำไรเยอะแล้วล่ะ แต่ผมจะไม่ขายเลย จะเฝ้าหน้าจอตลอดว่าจะหนีหรือไม่หนี ช่วงนี้จะไม่ให้เด็กดูเลย ....ถ้ามันกลับหัวลงมาที่ 1.90 บาท..."ผมเลิก" ถ้าไปต่อที่ 2.20 ผมจะยังตามอยู่ วิธีการคือจะขยับเป้าหมายขึ้นไปเรื่อยๆ ถ้าหักหัวลงมา 2 บาทผมถึงจะขาย แต่ถ้ามันไม่ลงไปต่อ 2.50 ถ้า ลงมา 2.30 ผมขายแต่ถ้า 2.50 ยืนได้ เป้าของผมก็ขยับไป 2.80 คือ ผมจะ Let Profit Run ตลอด ผมจะไม่ Cut เลย"
หลักในการขายหุ้น "ขาขึ้น"
เอกยุทธ บอกเคล็ดลับว่า จะต้องปรับราคาขายอยู่ตลอด ถึง 2 บาทผมจะกำไรมากแล้ว แต่ถ้าราคายังวิ่งต่อ ผมจะไม่ขายเด็ดขาด ใครจะมาด่าว่าโง่ก็ไม่สน เพราะไม่รู้จะขายทำไม เพื่อให้ Let Profit มัน Run ไปตลอด

"แต่เมื่อใดที่มันเริ่มหันหัวกลับ...ผมเลิก ทุกราคาผมขายหมดจะไม่รอ และไม่เสียดายเงิน 5 สตางค์ 10 สตางค์ ทุกช่องที่มีอยู่จะโยน (ขาย) ทิ้งหมดเลย สมมติว่าถ้าราคา 2 บาทลงมา 1.80 ทุกราคาที่มี 1.80 บาทผมทิ้งหมดแต่ถ้าขึ้นต่อ 1.80 ผมไม่ขายแล้ว รายใหญ่เขาเล่นกันอย่างนี้"
เอกยุทธให้นิยามของ?ความโลภ?
ในมุมมองของเขาว่า คนที่โลภคือคนที่ไม่อยู่กับปัจจุบัน ไม่ประเมินภาวะตลาด เห็นคนอื่นได้ก็อยากได้ด้วย คุณอย่าคิดว่าหุ้นมันขึ้นเองโดยธรรมชาติ มันขึ้นเพราะ "ดีมานด์" มันขึ้นเพราะ "ความเชื่อ" 2 ปัจจัยนี้เท่านั้น

"ผมยกตัวอย่างเวลาคุณผ่านสี่แยกราชประสงค์ คุณยกมือไหว้พระพรหม เพราะคุณเชื่อถือ แต่ถ้าวันใดวันหนึ่ง คุณผ่านประตูน้ำคุณเห็นตึกใบหยก ถ้าคุณยกมือไหว้ ที่นั่นก็ "ศักดิ์สิทธิ์" เหมือนกับการเล่นหุ้น คุณซื้อเพราะคุณเชื่อ!

....ผมจะบอกว่าคุณเชื่อได้ แต่อย่างมงาย
ผมเชื่อว่ามันจะขึ้นผมก็ไม่งมงายว่ามันจะขึ้นไปจนสุดยอด เพราะไม่มีอะไรขึ้นไปสุดยอดแล้วไม่มีลง ไม่มีใครขายหุ้นได้ในราคาสูงสุด ผมเองเล่นหุ้นมาเป็นสิบๆ ปี เคยขายหุ้นจุดสุดยอดไม่กี่ครั้ง ซึ่งมันต้องฟลุ้คจริงๆ

....เพราะฉะนั้นบางคนกำไร 10-20 สตางค์ก็ขายแล้ว คือ "
Cut Profit" (ตัดกำไร) แต่หุ้นตกลงมา 50 สตางค์ Let Loss Run(ปล่อยให้ขาดทุนมากขึ้นเรื่อยๆ) ไม่ยอมขาย ลงมาอีกก็ไม่ยอมขาย หวังว่ามันจะกลับไปที่เก่า เล่นอย่างงี้เจ๊งแน่ๆ"

เขากล่าวว่า ระดับมืออาชีพจริงๆ เขาจะไม่มีกฎอะไรตายตัว เช่น หุ้นลงมา 50% แล้วต้องซื้อหรือขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์แล้วต้องขาย...."ผมว่ามันเพ้อเจ้อ" หรือพวกที่ชอบซื้อหุ้น "ถัวเฉลี่ยต้นทุน" เขาก็จะไม่ทำ พวกนี้จะตายช้าๆ สุดท้ายก็ตายเหมือนกัน เล่นหุ้นขาลงซื้อถัวเฉลี่ยไม่ได้...ต้อง
Cut Loss ทิ้งอย่างเดียว

เอกยุทธเล่าว่า วิธีการของรายใหญ่บางกลุ่มซึ่งเขาถือว่า "สกปรก" ที่สุด คือ จับบริษัท "เน่า" แต่งตัวแล้วนำมาซื้อขายในตลาด หุ้นเน่าจะมาจาก 2 แหล่ง จากหมวด
Rehabco(ฟื้นฟูกิจการ) และผ่านเข้ามาทาง "ไอพีโอ" (หุ้นจอง)

ขบวนการจะเริ่มจากซื้อบริษัทที่ "เจ๊ง" ไปแล้วอาจจะอยู่ในตลาด หรือไม่ได้อยู่ในตลาด แต่ต้องมีขนาดที่ใหญ่หน่อยระดับหลายๆ ร้อยล้านบาทขึ้นไป เล็กๆ จะทำไม่คุ้ม ระดับที่เขาสนใจจริงๆ คือระดับ 2
,000-3,000 ล้าน มันเห็นน้ำเห็นเนื้อ

"ผมอยากจะเปรียบเหมือนกับเอาของเน่าๆ มาต้มให้ร้อน กินดูก็รู้ว่าเน่า หุ้นพวกนี้ราคาจะพุ่งแรงมากในช่วงแรกๆ แต่ไม่นานมันก็จะตกลงมาอย่างหนัก กราฟเหมือนยอดภูเขา"

ส่วนหุ้น "ไอพีโอ" วิธีการที่จะได้เงินตอนเข้าตลาดจะกำหนดค่าพี/อี เรโช สูงๆ บางบริษัทพื้นฐานไม่ดี แต่ขายพี/อี 12-13 เท่า บางตัวขาย 15 เท่า "ในความเห็นผมที่มาเลเซีย หรือ สิงคโปร์ บริษัทใหม่เขาจะให้พี/อีไม่เกิน 8 เท่า ตลาดจะต้องเป็นผู้กำหนดไม่ใช่ให้เจ้าของบริษัทเป็นผู้กำหนด หรือให้โบรกเกอร์เป็นคนกำหนด ผมคิดว่าไม่ถูกต้อง
ก่อนเอาหุ้นเข้าตลาดต้องประมาณการ Cashflow และคาดการณ์กำไรปีถัดไป พอเข้าตลาดได้เงินแล้วประกาศตัวเลขขาดทุน จริงๆ แล้วเขาต้องมี Profit การันตี 3 ปี โดยผู้ถือหุ้นใหญ่ต้องเป็นคนรับประกัน"
ที่ไม่ถูกต้องอีกข้อทางการต้องห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ หรือ ผู้บริหาร ซื้อๆ ขายๆ (เทรดหุ้น)เพราะคุณรู้ข้อมูลภายใน ในต่างประเทศเขาไม่ให้เรื่องนี้ เพราะเป็นการชี้นำราคา

เคล็ดลับมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด

ผมได้ติดตามงานเขียนของคุณสุชาติ ผู้แต่งหนังสือ "คิดออกนอกหน้า" มาตลอด เรื่องเคล็ดลับมัดใจลูกค้าให้อยู่หมัด เป็นเรื่องราวที่ถ่ายทอดได้ดีมากและนำไปใช้ได้กับทุกองค์กร ลองติดตามกันครับ

รักแรกพบคืออาการตกหลุมรักใครบางคน พอได้เริ่มคบกันจึงได้รู้ว่าตัวตนที่แท้จริงเป็นเช่นไร ฉะนั้นรักครั้งแรกก็อาจไม่ได้เป็นรักครั้งสุดท้ายเสมอไป การเอาชนะใจลูกค้าก็เช่นกัน ขายสินค้าออกไปได้ชิ้นแรกก็ไม่ได้เป็นเครื่องยืนยันว่าลูกค้าคนเดิมจะกลับมาใหม่ เพื่อพิสูจน์รักครั้งนี้ ผมจึงขอร่ายบทเพลงรักทั้ง 5 เพื่อทดสอบดูว่า คุณทำได้ดีแค่ไหนกับการดูแลผู้มีอุปการะคุณ หากคุณร้องเพลงทั้งหมดนี้ได้อินและถูกใจกรรมการเป็นที่สุด ผมเชื่อแน่ว่าลูกค้าจะไม่มีวันจากไปไหน

เพลงแรก เธอคือใคร” คือการรู้จักลูกค้าอย่างถ่องแท้ รู้ว่าใครคือตัวจริง ตัวปลอม ใครคือลูกค้าประจำ ใครเป็นขาจร ใครซื้อมากซื้อน้อย ใครซื้อเอาไปใช้หรือใครเอาไปขาย ใครคือคนที่มีอำนาจในการตัดสินใจ ใครเป็นคนจ่ายตังค์ หากคุณไม่เข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าดีพอ แล้วคุณจะเอาใจเขาให้พอดีได้อย่างไร

เพลงที่สอง เธอรักฉันที่ตรงไหน” คือการเข้าใจว่าลูกค้าตัดสินใจอยู่กับเราด้วยเหตุผลหรืออารมณ์ เป็นเพราะคุณภาพของสินค้าหรือชื่อเสียงของแบรนด์ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือการได้รู้ว่าที่ลูกค้าอยู่กับเราเพราะไม่มีที่ไป หรือไม่มีทางเลือก

เพลงที่สาม เล่าสู่กันฟัง” หรือ สบายดีหรือเปล่า”  คือการถามไถ่สารทุกข์สุกดิบเพื่อเช็คว่าลูกค้ายัง Happy ดีด๊าอยู่หรือเปล่า หากเขาแสดงอาการผิดสังเกตด้วยการทำตัวห่างเหินหรือเงียบงันไป แสดงว่าสินค้าเราอาจไม่เป็นที่ต้องการแล้ว หรือไม่คู่แข่งก็กำลังเทียวไล้เทียวขื่อจีบลูกค้าของเราอยู่ การตรวจเช็คสภาพความพึงพอใจของลูกค้าอย่างต่อเนื่องนอกจากเป็นการตอกย้ำประสบการณ์ที่ดีแล้ว ยังเป็นการช่วยลดหรือป้องกันการไหลออกของลูกค้า(โดยที่เราไม่รู้ตัว)

เพลงที่สี่ “100 เหตุผล เธออาจมีร้อยเหตุผลที่เธอจะไป แต่ฉันมีเพียงเหตุผลเดียวจะให้เธออยู่…. เวลาที่ลูกค้าจากไปจริงๆ เราไม่สนใจใคร่รู้เหรอว่า เหตุผลใดที่ลูกค้าถึงอยู่กับเราไม่ได้ การ Exit Interview ทำให้เรารู้ว่าเกิดรูรั่วหรือช่องโหว่อะไรขึ้นบ้าง เพื่อไม่ให้เหตุการณ์อันไม่พึงประสงค์เกิดขึ้นกับลูกค้าคนอื่นอีก

เพลงสุดท้ายคือ จากนี้ไปจนนิรันดร์” เราจะต้องทำอย่างไรเพื่อให้ลูกค้าของเราไม่จากไปไหน ประมาณว่ารักกันไปตลอดกาล ถ้าจับจุดได้และทำได้ถูก เราคงไม่ต้องเสียเวลาหาลูกค้าใหม่มาถมแทนลูกค้าที่จากเราไป

คำถามกับเพลงทั้ง 5  เป็นแค่จุดตั้งต้นในการตรวจเช็คว่าคุณรู้จักลูกค้าคุณดีมากแค่ไหน การดูแลความสัมพันธ์ใช้สัญชาตญาณเป็นส่วนใหญ่ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณจะดูแลลูกค้าคุณได้ทั่วถึงหากปริมาณมันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ภาพด้านล่างนี้แสดงความสัมพันธ์ระหว่าง CRM/CEM  และ CE


CRM (Customer Relationship Management) คือการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าโดยมีเป้าหมายคือความพึงพอใจของลูกค้าแต่ละราย โดยมียอดขาย ผลกำไร และความจงรักภักดี เป็นของกำนัล
CEM (Customer Experience Management) คือการสร้างประสบการณ์ที่ดี จนลูกค้ารู้สึกไม่อยากจากไปไหน เพราะทุกจุดสัมผัสนั้นสะดวก ราบรื่น และสะท้อนความเป็นตัวตนของลูกค้าแต่ละคนได้ดี
CE (Customer Engagement) คือการสร้างความผูกผันที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์มากกว่าเหตุผล แบรนด์ที่สามารถทำให้ลูกค้ารู้สึกผูกพัน ใคร่บอกต่อและแนะนำ มันคือสุดยอดของความสัมพันธ์ที่หาได้ยาก

ความหมายที่ควรใส่ใจ

คุณรู้มั๊ยว่า การขายกับ การตลาดต่างกันที่ตรงไหน?
การขาย คือความพยายามในการยัดเยียดสินค้าหรือบริการ ไม่ว่าลูกค้าจะต้องการหรือไม่ก็ตาม โดยมีเป้าหมายคือยอดขาย ส่วนลูกค้าคือกรรม (ผู้ถูกกระทำ)
การตลาด คือความพยายามในการตอบสนองความต้องการของลูกค้า ทั้งที่ลูกค้ารู้ตัวและไม่รู้ตัว โดยมีเป้าหมายคือความพึงพอใจ และลูกค้าคือประธาน (ผู้ก่อการรัก)

5 เรื่องเล็กน้อยที่คนมักมองข้าม

1) ลูกค้าทุกคนล้วนมีความสำคัญ แต่ลูกค้าไม่ได้สำคัญเท่ากันทุกคน

กฎของ Pareto ได้อธิบายไว้ว่าลูกค้าปริมาณเกือบ 80% อาจสร้างยอดขายหรือผลกำไรเพียง 20% แต่ในทางกลับกันลูกค้าระดับบนเพียง 20% อาจมีความสามารถในการสร้างรายได้มากถึง 80% และนี่คือที่มาของการบริหารธุรกิจแบบ  Key Account Management คือการจัดทีมพิเศษเพื่อดูแลเอาใจใส่ลูกค้าระดับบนเป็นกรณีพิเศษ เพราะการหาลูกค้ารายใหญ่เพียงคนเดียวอาจใช้กำลังน้อยกว่าการควานหาลูกค้านับร้อยนับพัน แต่ข้อพึงระวังคือ ลูกค้ารายใหญ่มักมีอำนาจการต่อรองสูงกว่าลูกค้ารายเล็ก ดังนั้นผลกำไรอาจจะไม่มากเมื่อเทียบกับยอดขายโดยรวม ถ้าคุณอยากขายของถูกแบบ Mass Strategy คุณจะต้องมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ทั่วถึงเพราะรายได้รวมจะผูกติดกับขนาดของกิจการ แต่หากคุณขายของแพง คุณต้องเน้นสร้างความแตกต่างอย่างเหนือระดับเพื่อรักษาระดับผลกำไร

2) ลูกค้าทุกคนต้องการ การปรนนิบัติที่แตกต่าง

สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปมักใช้วิธีหว่านแห คือเอาใจคนส่วนมากและละเลยคนส่วนน้อย แต่ถ้ามองกันใหม่ การจัดกลุ่มลูกค้าตามพฤติกรรมและความต้องการ แล้วดัดแปลงวิธีการดูแลให้สอดคล้องกับพฤติกรรมนั้นจะทำให้ได้ใจลูกค้ามากทีเดียว ยกตัวอย่าง เช่น นครชัยแอร์ มีบริการรถโค้ชปรับอากาศชั้น VIP ที่มีเก้าอี้นวด จอทีวี และสิ่งอำนวยความสะดวกเพื่อเจาะกลุ่มลูกค้า B+  แทนที่จะเน้นเจาะกลุ่มเฉพาะลูกค้าเกรด C  เท่านั้น  K-My Debit Card มีการออกบัตรเดบิตรุ่น Angry Bird เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าวัยทีน เป็นต้น ยิ่งเราสามารถดัดแปลก Customize  หรือ Personal Offerings ได้มากเท่าไหร่ ยิ่งทำให้ลูกค้าพึงพอใจมากขึ้น ทั้งนี้อาจจะต้องคำนึงคือจุดคุ้มทุนหรือความพอดีด้วย เพราะการมีผลิตภัณฑ์หรือช่องทางที่หลากหลายมากเกินไป อาจกลายเป็นการสร้างภาระด้านต้นทุนให้กับผู้ประกอบการทางอ้อม

3) ส่วนแบ่งในกระเป๋า VS ส่วนแบ่งในใจลูกค้า

นอกจากการเรียงลำดับความสำคัญของลูกค้าแล้ว การนำดัชนีชี้วัดด้านส่วนแบ่งความพึงพอใจ (Share of Mind) เข้าไปประกอบกับส่วนแบ่งในกระเป๋าลูกค้า (Share of Wallet) ทำให้เราเห็นลูกค้าในมิติที่ลึกมากขึ้น (ดูภาพประกอบ)



กลุ่มที่ 1 รักเดียวใจเดียว: คือลูกค้าที่รักเรามากและก็ใช้เรามากด้วย คือกลุ่มที่มีความรักล้นใจ มีความจงรักภักดีมากเพราะแทบจะเทหมดหน้าตักซื้อของเราเจ้าเดียว

กลุ่มที่ 2 รักเธอแต่เธอไม่รู้: คือลูกค้าที่รักเรามากแต่อาจจะยังใช้เราไม่ค่อยมากเท่าไหร่ กลุ่มคนเหล่านี้อาจเป็นลูกค้ารายใหญ่ที่คู่แข่งกอดไว้อยู่ ด้วยเงื่อนไขบางประการ ทำให้เขาไม่สามารถอุดหนุนเราได้มาก ทั้งๆที่มีความนิยมชมชอบในตัวแบรนด์เรามาก อีกนัยหนึ่งลูกค้าอาจยังไม่มีความพร้อมด้านกำลังซื้อก็ได้ เลยแอบรักอยู่เงียบๆ

กลุ่มที่ 3 จำเลยรัก: คือลูกค้าที่แม้จะใช้เรามากแต่ระดับชื่นชอบในตัวแบรนด์นั้นน้อยมาก สาเหตุอาจเกิดจากความไม่พอใจในตัวสินค้า ได้รับประสบการณ์ที่ไม่น่าประทับใจ แต่ไม่สามารถย้ายค้ายได้เพราะยังไม่หมดสัญญา หรือยังหาตัวเลือกที่ดีกว่าที่มีอยู่ไม่ได้ ลูกค้ากลุ่มนี้คือกลุ่มที่น่าเฝ้าระวังเพราะในวันที่เขาเดินจากไป นอกจากไม่มีเยื่อใยแล้ว เขาอาจกลายเป็นพยานปากเอกที่ทำให้แบรนด์เราเสียหายได้

กลุ่มที่ 4 รักเผื่อเลือก: คือลูกค้าที่ไม่ได้ผูกติดกับเจ้าใดเจ้าหนึ่งเป็นพิเศษ เพราะไม่ต้องการผูกมัดกับใครเหมือนคาซาโนว่าที่คบคนไม่เลือกแต่ไม่ได้รักใครจริง หรือไม่ก็เป็นพวกลูกค้าขาจรที่มีกำลังซื้อไม่คงที่

ในบรรดา 4  กลุ่มนี้ กลุ่มที่ควรที่ได้รับการดูแลเอาใจใส่มากที่สุดคือกลุ่มแรก รักเดียวใจเดียว รองลงมาคือจำเลยรัก ถ้ากลับตัวได้ทัน ลูกค้ากลุ่มนี้อาจมีสิทธิ์อัพเกรดสถานะขึ้นเป็นเบอร์  1 ได้ในที่สุด ส่วนกลุ่มที่สองอยู่ในโหมดจับตามอง พยายามสกรีนลูกค้ารายใหญ่ของคู่แข่งออกมาเจาะ ส่วนกลุ่มสุดท้ายถ้ามีทรัพยากรค่อนข้างจำกัด กลุ่มนี้อาจสามารถพักเอาไว้ชั่วคราวก่อนก็ได้

4) จับจังหวะถูกช่วงเวลา สร้างคุณค่าจากความคุ้นเคย

เมื่อลูกค้าอยู่กับเราสักพักหนึ่ง มีความน่าจะเป็นว่าเราสามารถใช้ความสัมพันธ์ที่มีอยู่สร้างโอกาสทางธุรกิจเพิ่มเติมด้วยการ Cross-selling หรือ Up-selling ให้ถูกช่วงเวลา
Cross-selling คือการขายสินค้าเกี่ยวเนื่องกับผลิตภัณฑ์หลักให้กับลูกค้ารายเดียวกัน เช่นขาย Accessories เสริมเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ขายของตกแต่งบ้าน พ่วงไปกับเฟอร์นิเจอร์ ขายงานออกแบบคู่ไปกับการรับเหมาก่อสร้าง เป็นต้น

Up-selling คือการขายสินค้าชนิดเดียวกันที่มีมูลค่ามากขึ้นให้กับลูกค้าเดิม เช่น จากที่ลูกค้าเคยซื้อน้ำมันเครื่องแบบธรรมดา ก็พยายามเชียร์ให้เปลี่ยนมาใช้แบบกึ่งสังเคราะห์ที่มีราคาแพงขึ้น จากที่เคยขับรถซีดานก็พยายามเชียร์ให้ลูกค้าลองใช้รถสปอร์ตดูบ้าง เป็นต้น

การสร้างโอกาสทางการขายที่ดีคือการเล็งจังหวะโดยสังเกตพฤติกรรมและความต้องการของลูกค้า หากเดาสุ่มสี่สุ่มห้า ยัดเยียดขายสินค้าไม่ดูตาม้าตาเรือ นอกจากจะผิดกาละเทศะแล้ว อาจเป็นการทำลายความสัมพันธ์ที่มีมายาวนานอีกต่างหาก

การทำ Cross-selling และ Up-selling นอกจากจะเป็นการสร้างรายได้ที่เพิ่มขึ้นต่อลูกค้าแต่ละรายแล้ว ยังเป็นการสร้าง Exit Barrier  ที่สูงขึ้น เมื่อลูกค้าซื้อสินค้ากับเราเกือบจะเป็น Solution ในวันที่ต้องย้ายค้ายหรือย้ายระบบจะนำความยุ่งยากมาให้ค่อนข้างมาก

5) ยืดอายุความสัมพันธ์ด้วยความไว้ใจ

ความสามารถในการตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีอย่างต่อเนื่องเป็นเวลายาวนานถือเป็นการสะสมบุญบารมีอย่างหนึ่ง ยิ่งอยู่นานยิ่งรู้สึกผูกพันและคุ้นเคย หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรระหว่างทางลูกค้าก็ยินดีที่จะให้อภัย เพราะฉะนั้นนักการตลาดต้องพยายามทำทุกวิถีทางให้ลูกค้ารู้สึกเคยชิน เพราะเมื่อเคยชินจะไม่ค่อยอยากเปลี่ยนแปลงไปที่ไหนอีก

เครื่องมือในการสร้างความสัมพันธ์

เครื่องมือที่ดีที่สุดในการสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าก็คือคน หากเริ่มดูแลได้ไม่ทั่วถึง กิจการเสริมสร้างความสัมพันธ์อาจช่วยได้ การตีกอล์ฟ จัดทัวร์ งานสัมมนาต่างๆ ถือเป็นเครื่องมือที่สร้างโอกาสให้ลูกค้าและผู้บริหารได้พบปะเจอกัน นอกจากนี้ยังมีเรื่องของการมอบสิทธิพิเศษ และการจัดทำโปรแกรมส่งเสริมความจงรักภักดีหรือ Loyalty Program ซึ่งเป็นวิธีที่ทำให้ลูกค้าอยากซื้อและใช้ซ้ำเพื่อแลกกับสิทธิพิเศษอื่นๆ Mileage ของสายการบิน  แต้มของบัตรเครดิตล้วนเข้าข่ายการสร้างโปรแกรมเพื่อให้ลูกค้าไม่เปลี่ยนใจไปใช้ยี่ห้ออื่น

ในหลายๆ กรณี บางบริษัทมีฐานข้อมูลลูกค้าจำนวนมาก ในการใช้คนหรือกิจกรรมเป็นหลักทำให้มีต้นทุนการดูแลความสัมพันธ์ลูกค้าค่อนข้างสูง จึงเริ่มมีการพัฒนาเครือข่ายพันธมิตรในการแลกเปลี่ยนสิทธิพิเศษให้กับลูกค้า รวมถึงการจัดส่งข้อมูลข่าวสารที่เป็นประโยชน์ผ่านช่องทางต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น Direct Mail, Electronic Direct Marketing หรือ Social Media สิ่งสำคัญที่นักการตลาดควรให้ความสำคัญมากๆ คือการแยกลุ่มประเภทลูกค้าด้วยการ Filter profile, activities, interest ของลูกค้า แล้วจัดส่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องให้กับลูกค้า เพราะหากข้อมูลหรือสิทธิประโยชน์ที่ส่งไปให้ไม่ค่อยเกี่ยวกับลูกค้ารายนั้น สิ่งที่ส่งไปจะเข้าข่ายของ Junk Mail หรือ SPAM ไปได้

โดยทั่วไปอัตราการตอบรักของ Direct Mail, Email Marketing หรือ Telesales การขายของทางโทรศัพท์จะค่อนข้างต่ำอยู่ในระดับ 1-3% อยู่แล้ว ฉะนั้นนักการตลาดที่ดีควรรู้จักใช้ความคิดสร้างสรรค์ในการพัฒนาคอนเทนต์ที่น่าสนใจ บวกกับการบริหารข้อมูลที่มีความแม่นยำที่มากขึ้น แล้วอย่าลืมตั้งกฎเกณฑ์ในการกระทุ้งลูกค้าหรือ Bombardment Rules ด้วย เพราะถ้าลูกค้าได้รับการติดต่อผ่านทุกช่องทางมากเกินพอดี ความรำคาญอาจทำให้ลูกค้าตัดสินใจปิดระบบหรือบัญชีออกจากการเป็นลูกค้าอย่างถาวรไปได้

การชนะใจลูกค้าได้ทั้งปวง เราต้องรู้จักใช้ทั้งพระเดชและพระคุณเป็นหยินและหยาง คือพัฒนาสินค้าและบริการให้ตอบโจทย์ (ความพึงพอใจ) และสร้างประสบการณ์และความรู้สึกดีๆจนลูกค้ากลายเป็น (ความผูกพัน) เมื่อสองอย่างนี้อยู่ด้วยกันลูกค้าจะจากไปไหนได้

สุดท้ายขอฝากข้อคิดไว้อย่างหนึ่งว่า การดูแลลูกค้าก็เปรียบเสมือนการดูแลคนรัก ก่อนแต่งงานชีวิตมักจะหวานชื่น พอแต่งงานไปแล้วชีวิตอาจดูจืดชืดไปบ้าง อย่าเห็นลูกค้าหรือคนใกล้ตัวเป็นของตาย เพราะถ้าคุณไม่ดูแลเขา อาจมีคนอื่นพร้อมที่จะมาดูแลแทนคุณ

Source: Somchartlee บล็อกที่นี่มีเรื่องเล่าhttps://somchartlee.wordpress.com