Friday, January 6, 2012

จงอย่าหมดศรัทธากับชีวิต โดย สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง

สวัสดิ์ หอรุ่งเรือง :จ้าของวาทะอมตะ "ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย" เขาเป็นนักธุรกิจมีตำนาน มีสีสัน มีชีวิตที่โลดโผนและต่อสู้มาตลอด ประเภท Never give an inch (นิ้วหนึ่งกูก็ไม่ถอยให้มึง) แม้ในวัย 68 ปีในทุกวันนี้ ซึ่งหลายคนอาจคิดวางมือ ส่งผ่านธุรกิจให้ลูกหลานดูแลรับช่วงต่อ แต่สวัสดิ์ไม่เคยคิดเช่นนั้น...
ลูกๆของเขาต่างมีธุรกิจของตนเอง ลูกชายรับช่วงธุรกิจบางอย่างจากเขา ส่วนลูกสาวมีธุรกิจเล็กๆที่น่ารัก แต่ในใจเขานั้นไม่เคยคิดเกษียณจากการทำงาน งานคือชีวิตของคนไฮเปอร์อย่างสวัสดิ์ จะทำงานไปจนกว่าจะทำไม่ไหว ชีวิตของเขาแน่นอนเป็นการลงทุนอยู่แล้ว ลงทุนทั้งในแง่น้ำพักน้ำแรงและความคิด แต่แม้ชีวิตจะคือการลงทุน มันก็ยังไม่ถึงเป้า มันต้องสู้ด้วย ซึ่งใครๆก็พูดมานานแล้วว่าชีวิตต้องสู้ และชีวิตของสวัสดิ์นั้นเป็นประเภท Never give an inch. นิ้วหนึ่งกูก็ไม่ถอยให้มึง
วิกฤติ ต้มยำกุ้งปี 1997 ทำให้ธุรกิจเหล็กมูลค่าแสนล้านของเขาต้องล่มสลาย เขาต้องเป็นหนี้สินมากมาย เข้าร่วมในกระบวนการฟื้นฟูกิจการ เพื่อหาหนทางใช้หนี้คืนให้สถาบันการเงิน หลังจากเวลาผ่านไป 10 กว่าปี กิจการที่เคยนำเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯถึง 3 แห่ง กลับเหลืออยู่ในมือเพียงแห่งเดียว

ทฤษฎีเก่าๆใช้ไม่ได้แล้ว พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป


โลกในทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว
สิ่งที่ไม่เคยคิดว่าจะเกิดหรือจะได้เห็นในคนรุ่นหนึ่ง ก็สามารถเกิดขึ้นได้ สวัสดิ์เน้นย้ำเป็นประเด็นแรกของการสนทนาว่าในยามนี้ทฤษฎีหรือแนวคิดเก่าๆที่มีอยู่ต่างใช้อธิบายโลกและปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลานี้ไม่ได้ ผมไม่เชื่อ Kuru คนใดทั้งนั้น ที่ดร.หรือนักเศรษฐศาสตร์มาพูดว่าอีก 2 ปีจะดี อีก 3 ปีดี 5 ปีดีนี่ No one knows เพราะเวลานี้ นี่ผมคิดแบบคนที่ไม่ได้เรียนอะไรมา แต่ว่าอยู่ในวงการธุรกิจ ทฤษฎีเก่าๆใช้ไม่ได้หมดแล้ว เพราะพฤติกรรมของคนเปลี่ยนไปแล้ว นักธุรกิจเปลี่ยนหมด เวลานี้คนไร้จริยธรรมมีมากขึ้น

เขาอ้างถึงในช่วงเดือนมีนาคมที่ผ่านมา
มีรายงานข่าวว่าธนาคารชาติอังกฤษได้จัดพิมพ์ธนบัตรเพิ่มเพื่ออัดฉีดเงินใส่เข้าไปในระบบการเงินของประเทศจำนวน 150,000 ล้านปอนด์ และคาดว่าผลกระทบที่เกิดขึ้นจะทำให้เงินปอน์ดมีค่า 1 ปอนด์เท่ากับ 1.20 เหรียญดอลลาร์ หรือเท่ากับ 40 บาท เหตุการณ์นี้ทำให้สวัสดิ์คิดว่า วันนี้ไม่มีนักเศรษฐศาสตร์การเงินคนใดที่จะอ่าน sign ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เราไม่รู้จริงๆว่าอเมริกาอัดเงินเข้าไปในเซคเตอร์การเงินนี่ ก็ไม่รู้ว่าจะดีขึ้นอย่างไร พออัดเงินเข้าไปสักพัก หุ้นก็ลง วอลล์สตรีทดัชนีเหลือ 7,000 เท่านั้น จากเดิมอยู่ที่ 14,000 และยังไม่รู้ว่า bottom line อยู่ตรงไหน

สวัสดิ์เปรียบเทียบวิกฤติครั้งนี้กับครั้งที่เขาเจอว่ามีความแตกต่างกันพอสมควร
เพราะในยุคหลังนี้ได้มีการแก้ไขกฎหมายหลายฉบับมีการวางกฎกติกาต่างๆชัดเจนมากขึ้น กฎหมายมีการปิดช่องโหว่และกำหนดบทลงโทษค่อนข้างหนัก โดยเฉพาะสำหรับ auditor หรือผู้สอบบัญชีที่จะตรวจสอบบริษัท แล้วบริษัทที่อยู่ใน ตลท.ก็ถูกวางกติกาไว้ มีกรอบแข็งแรงมาก ไม่ว่ากรรมการภายนอกที่เข้ามาต้องมีความรับผิดต่างๆหรือ liability สูงมาก ในเมื่อวางบทลงโทษและปิดช่องโหว่ทางกม.ไปหมดแล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้น คนที่ตั้งใจจะคดโกงเริ่มหาทางออกไม่ได้ มันก็โกงซึ่งๆหน้าหมด ไม่ต้องมี tactic อะไรเลยเพราะเขาล้อมไว้หมดแล้ว มันก็เอาเงินออกไปเลยไง ถูกไหม หน้าด้านๆเอาเงินออกไปเลย และหนีไปเลย

ไม่ใช่เฉพาะในเมืองไทยนะ
อเมริกาก็เหมือนกัน คนจะหาช่องโหว่ หา tax consultant มาหาทางออก ว่าจะโกงแบบนี้ๆ ได้ไหม เวลานี้มันถูกล้อมกรอบจนออกไม่ได้ มันก็เอาเงินไปเฉยๆเลย เหมือนกับโกงซึ่งๆหน้า อย่างเวลานี้นักธุรกิจที่มีชื่อดังๆหลายคนในประเทศ ก็หอบเงินหนีหมด เอาลูกเมียไป หนีหมด คือไม่ได้โกงแบบมีเทคนิคแล้ว ไม่ต้องแล้ว เพราะว่าถูกล้อมจนหาทางออกไม่ได้แล้ว

อย่างในคัมภีร์ไบเบิลมีคำสอนว่า
ถึงแม้พระเจ้าจะปิดประตู แต่ในเวลาเดียวกันพระเจ้าก็เปิดหน้าต่างเอาไว้ แต่เวลานี้ดันปิดหน้าต่างอีก ไม่มีทางออกเลย มันก็เลยเผาบ้านเลย ถูกไหม คุณเห็นไหมว่าทุกบริษัทที่โกงๆกันนั้น ไม่มีเทคนิคอะไรเลย

จริยธรรมไม่ต้องมีแล้ว
เพราะว่ามันถูกล้อมกรอบจนใช้สันดานดิบของมนุษย์แล้ว ตอนนี้อะไรเกิดขึ้นเมื่อ 2 สัปดาห์ก่อน อเมริกาบังคับสวิสเซอร์แลนด์ให้เปิดเผยบัญชีลับทุกบัญชี ทางสวิสก็บอกว่าไม่เปิด แต่ว่าขอยอมจ่ายค่าปรับไป 700 ล้านเหรียญใช่ไหม ที่เป็นข่าว ดังนั้นเวลานี้เราก็คิดแบบคนที่ไม่ได้จบทางการเงินเลย มันมีคนเสียและคนได้ ไอ้คนที่ได้ก็โกงไปน่ะ แล้วเงินไปไหน

เพราะดังนั้นเราคิดแบบคนที่ไม่ได้จบเศรษฐศาสตร์การเงินเลย
คิดแบบมนุษย์คิดเลยว่ามันก็คงต้องไปซ่อนอยู่กับแบงก์แบบนี้แหละ ที่สิงคโปร์ สวิส หรือเกาะใดเกาะหนึ่ง เขาอยากจะรู้ว่าบัญชีฝากเงินพวกนี้มีใครบ้าง ให้แบงก์สวิสเปิด แต่ว่าแบงก์สวิสไม่ยอมเปิด ถูกไหมครับ มันต้องมีคนได้คนเสีย คนที่ได้อาจจะมีไม่กี่คน แต่ว่าใครล่ะ

ในชั่วโมงที่เศรษฐกิจดีทั้งโลกนั้น
มันก็มีทั้งคนที่รวยและเจ๊ง ไม่ใช่ว่าเศรษฐกิจดี ทุกคนจะรวยหมด มันไม่ใช่ และในชั่วโมงที่เลวสุดอย่างนี้ มันก็ต้องมีคนรวย มันไปไหนล่ะ ไม่ใช่ว่าจนกันหมดทั้งโลกนะ”

สวัสดิ์ยอมรับแม้กระทั่งตัวเขาที่ผ่านทั้งยุครุ่งโรจน์และร่วงโรยของการทำธุรกิจ
ผมมองวันนี้นี่ อ่าน sign ไม่ออกเลย สมัยก่อนที่สวัสดิ์ทำธุรกิจ เขาบอกว่าจ่ายดอกเบี้ย อย่างต่ำคือกู้จากแบงก์ 12% บางครั้ง 15% หรือ 18% เขายังอยู่ได้ และโตมาเรื่อย แต่วันนี้อะไรเกิดขึ้น ดอกเบี้ย 5% กลับอยู่ไม่ได้

เพราะอะไร
ก็อยู่ๆตลาดหายหมดเลยนี่ แล้วเวลานี้ผมดูรัฐบาลทุกคนอัดเงินเข้าไปช่วย ไม่ว่าจะเป็นโครงการอะไรก็ตาม และไม่ใช่คุณอภิสิทธิ์ทำคนเดียว ทุกประเทศเขาก็ทำกัน แต่ว่าส่วนหนึ่งเพื่อจะเสริมสร้าง purchasing power หรือกำลังซื้อให้แข็งแรง แต่ในเวลาเดียวกันคุณก็ทำลายกำลังซื้อที่แท้จริงไปอีกกลุ่มหนึ่งคือกลุ่มคนที่มีเงินฝาก อย่างสมมติคนที่เกษียณแล้วมีเงินฝาก 3-4 ล้านบาท เมื่อก่อนนี้ดอกเบี้ย 8-10% คุณยังมีเงิน 20,000-30,000 บาทใช้ทุกเดือน แต่วันนี้ส่วนนี้หายไปแล้ว มันเหลือครึ่งเปอร์เซ็นต์ เป็นไปได้อย่างไร คนพวกนี้ตายแล้ว กำลังซื้อจริงๆส่วนนี้หายไป แต่ว่าเราก็ไปสร้างกำลังซื้อเทียมมาเพื่อเอาเงินมาแจก ไม่ว่าจะเป็นเช็คหรือคูปองก็ตามแต่ เพราะว่าทั่วโลกเขาก็ทำกัน ผมไม่ได้ตำหนิรัฐบาลไทยนะ เพราะว่ามันไม่มีทางออกอยู่แล้ว
ญี่ปุ่นก็เคยแจกเงิน เกาหลีก็แจก อเมริกาก็แจก ถูกไหม แต่ว่าคนที่ไม่ต้องพึ่งใครเลย มีเงินฝากไว้ เกษียณมาไม่ต้องพึ่งใครเพราะมีเงินฝาก สมมติ 2 ล้านบาทสมัยก่อนได้ 10% ก็ได้ปีละ 200,000 บาท เฉลี่ยเดือนละ 16,000 บาท ก็พอใช้ได้ อยู่ได้สบาย แต่วันนี้กลุ่มนี้หายไปแล้ว จะไปเรียกร้องเขาบอกว่ามาลงทุนเถอะ ไม่ว่าจะเป็นตลาดบอนด์ ตลาดหุ้น หรืออะไรก็ตามแต่นี่ คนเหล่านี้เขาไม่เคยมีความรู้ คุณคิดว่าจะเอาเงินเขามาได้หรือ แม้กระทั่งเวลานี้กองทุนต่างๆก็เจ๊ง ใช่หรือเปล่า ดังนั้นจะไปสนอเขาว่ามาลงทุนในตลาดไหนก็ตาม เวลานี้คือไปสอนคนที่ไม่เคยเล่นไม่เคยลงทุนเลย แล้วมาเรียนหนังสือ มาเรียน ก ข เพื่อที่จะลงทุน และโลกการเงินเป็นแบบนี้ เขาก็ไม่มาหรอก ได้แค่ครึ่งเปอร์เซนต์เขาก็ฝากทิ้งไว้อย่างนั้นแหละ

เพราะฉะนั้นวันนี้ผมไม่เชื่อนักเศรษฐศาสตร์คนไหนที่จะมาพูดเลยว่าอเมริกาอัดฉีดเงินเข้ามา
70,000 กว่าล้านล้านเหรียญ แล้วจะดีขึ้น วันนี้ก็ยังไม่มีอะไรดีขึ้น พอผ่านสภาฯเป็นอย่างไร หุ้นตกทันที

เวลานี้คุณไปสัมภาษณ์ใครก็น่าเบื่อ
เห็นไหม อ่านวิเคราะห์ตอนเช้า ก็บ้าแล้ว และรัฐบาลเอาเงินไปแจก ถูกต้อง แต่ว่าคนกลุ่มหนึ่งที่พึ่งตัวเองได้ในอดีต กลับพึ่งไม่ได้แล้ว เงินฝากของเขาไม่มีผลอะไรเลย เพราะฉะนั้นคนซื้อกลุ่มนี้ที่เป็น Real Purchasing Power หายไปเลย เผลอๆต่อไปต้องจ่ายค่ารักษาเงินให้ธนาคารด้วยกระมัง ครึ่งเปอร์เซนต์ก็ไม่ได้แถมยังต้องจ่ายเงินให้แบงก์ด้วย

ฝากข้อคิด อย่าหมดศรัทธากับชีวิต


ด้วยประสบการณ์ของชีวิตการทำงานที่มีอยู่มากมาย
สวัสดิ์ให้ข้อคิดกับคนรุ่นใหม่ว่า ไม่ว่าชั่วโมงที่ดีที่สุดหรือเลวที่สุดของชีวิตนี่ มันไม่สำคัญอะไรเลย สำคัญที่สุดคืออะไร วันไหนที่คุณหมดศรัทธาต่อสิ่งที่คุณเชื่อ คุณหมดศรัทธากับมันเมื่อไรนี่ คุณก็หมด จบ ไม่ว่าเศรษฐกิจจะดีขนาดไหนก็ตาม

อย่างผมเชื่อว่าผมทำเหล็กผมต้องทำให้ได้
และทำให้ได้ดี ผมก็ทำได้สำเร็จหมดเลย ทำนิคมฯเหมือนกัน และเวลานี้ผมมีความเชื่อว่าเหล็กเวลานี้จะลงก็จริง แต่มันจะต้องขึ้นในเร็วๆนี้ นิคมฯก็เหมือนกัน ถูกไหม ดังนั้นวันไหนที่คุณหมดศรัทธาเมื่อไรกับสิ่งที่คุณเชื่อมาชั่วชีวิต วันนั้นคุณก็จบ ไม่ว่าคุณจะเก่งขนาดไหม เหตุการณ์บ้านเมืองจะดีขนาดไหน คุณก็จบ

ดังนั้นคุณจะเห็นว่า
10 กว่าปีที่ผ่านมานี้ผมก็ยังอยู่กับธุรกิจของผม อย่างเก่งก็เอาบริษัทนี้ไป diversify อย่างที่ผมบอกคุณว่าเหมราชจะไปในทิศทางไหน และผมก็เชื่อว่าตลาดหลักทรัพย์ฯจะไม่เบรกเรา ว่าเราอยู่ในเซคเตอร์นี้เราจะ diversify ไม่ได้ ซึ่งสมัยก่อทำไม่ได้ บ้าฉิบหายนะ แต่เดี๋ยวนี้โอเค หากคุณทำที่ดิน ต่อไปคุณจะไปทำคอมพิวเตอร์ไฮเทคนี่ เมื่อก่อนนี้ต้องขออนุญาตเลยนะ เพราะว่าเขาแบ่งเซคเตอร์คุณไม่ถูกไง เราอยู่อสังหาริมทรัพย์ฯ ถือว่าเป็นการ diversify และในช่วงวิกฤติก็เป็นการ survive
ความคิดง่ายๆของผมมีเท่านั้นเองว่าใครอย่ามาขีดเส้นให้ผมเดินเลย อะไรก็แล้วแต่ที่ทำเงินให้บริษัทผม ผมจะทำทั้งนั้น พระเจ้าก็เบรกผมไม่ได้ ถูกหรือไม่ถูก หน้าที่ของคุณคือทำกำไรใช่ไหม แล้วทำไมคุณทำไม่ได้ ไม่ได้เพราะว่ากติกาไม่เปิดให้ทำ ? และตลาดหลักทรัพย์ฯก็เปลี่ยนไปแล้วด้วย เพราะว่าผมเคยโต้แยงประเด็นนี้ และผมก็ได้ทำ อย่างวันนี้โอเค ทำนิคมฯแล้วก็มานั่งจับเจ่าว่าทำอย่างไรดี เพราะว่าเซคเตอร์รถยนต์ก็ทรุด อะไรๆก็ตกต่ำลง เราก็ต้องมาคิดใหม่เลย เวลานี้จะทำอะไรต่อไป นิคมฯของผมนี่ ตอนที่ดีที่สุด ก็ขาย raw land ปาเข้าไปเกือบ 2 ล้าน เวลานี้เหลือ 6-7 แสนบาท ซื้อไหม why not ให้มันรู้ไปว่าช่วงชีวิตนี้พระอาทิตย์จะไม่ขึ้นอีกแล้ว ดังนั้นปัญหามันอยู่ที่ cash flow ของคุณ กับความยึดมั่นของคุณ เวลานี้คุณเป็นผู้สื่อข่าว เขียนคอลัมน์ วันไหนตื่นขึ้นมาหมดศรัทธากับอาชีพนี้ คุณจะทำอย่างไร

ถ้าเราหมดศรัทธากับสิ่งที่เรายึดมั่นมาตลอดชีวิต
ก็จบ แม้สถานการณ์ทั้งโลกดีหมด คุณก็จบ
ฟังดูแล้วสงสัยว่าสวัสดิ์เป็นคนที่เข้มแข็งได้มากขนาดนี้ได้อย่างไร

มันเป็นสิ่งจำเป็นนะครับ
อาจจะพ่อแม่ในรุ่นนั้นมาจากเมืองจีน เขาก็เคี่ยวเข็ญเรา ถึงไม่ต้องเคี่ยวเข็ญเรา เราก็เห็น พ่อแม่ทำงานตัวเป็นเกลียวเลย เราก็ทำ และเราเริ่มต้นจากศูนย์เลย คนอื่นนะเขาบอกว่าเริ่มจากศูนย์แล้วมารวยเป็นร้อยล้านพันล้าน ผมเริ่มต้นชีวิตออกมานี่ผมเป็นหนี้อยู่ 200 กว่าล้านบาท เพราะว่ามันเป็นงานของครอบครัว แล้วเสร็จแล้วพี่ชายผมมีปัญหาขัดแย้งทางความคิด ผมก็ออกจากบริษัท พี่ชายผมเป็นคนทำ ทำไป 2 ปีเขาบอกไม่ทำแล้ว ให้ผมกลับไปทำดีกว่า ตอนนั้นโต้แย้งกัน เราก็มีหนี้อยู่แล้วเพราะผมก็ไปสร้างอะไรเยอะแยะ ผมกลับมานี่เท่ากับว่าผมเริ่มต้นใหม่โดยติดลบเกือบ 200 ลบ. มาวันนี้เป็นหนี้แสนกว่าลบ. โอ้โฮ มันฉิบหายเลย

แล้วเราต้องรู้ตัวเราเองว่าคุณมาจากไหน
เราไม่ได้เอาเงินพ่อแม่เรามาทำ เพราะฉะนั้นคนที่เสียใจร่วมกับเราไม่มี หากเราเอาเงินพ่อแม่มา ลูกคนอื่นก็ว่าเอาได้ แต่ว่าของผม ผมทำมากับมือกับน้องชายผม เพราะงั้นเมื่อเจ๊ง ก็ผมทำเองและเจ๊งไปกับมือผม ถูกไหม แล้วอีกอย่างหนึ่งคุณเป็นหมายเลข 1 หรือ Number one ในบริษัท หากคุณไม่มั่นคงนี่ องค์กรก็เจ๊ง

เมื่อปี
1997 หากคุณไม่มั่นคง คุณเป็นเบอร์หนึ่งแล้ว จะทำอย่างไร? มันไม่มีเหตุผลที่คุณมานั่ง shaky ลูกน้องผมเสนอแผนประหยัดมาเมื่อปี 1997 ด้วยการปิดแอร์ เรื่องกาแฟ เป็นต้น ถูกผมด่าเลย ผมบอกว่าหากต้องทำสิ่งเหล่านี้แล้วบริษัทอยู่รอดได้ ก็เจ๊งมันเสียเลยดีกว่า ถามว่าประหยัดเดือนละเท่าไร หลายๆบริษทก็ประมาณแสนบาทได้ ผมว่าจะบ้าหรือเปล่า

เพราะงั้นสิ่งแวดล้อมบังคับให้ผมต้องแข็งแรง
เพราะวันนั้นนี่ลูกผม หลานผม คนงานผมเป็นพันคน ยังเรียนหนังสืออยู่เมื่อ 1997 สิบกว่าปีที่แล้ว สิ่งเหล่านี้บังคับให้คุณต้องแข็งแรง ต้องอยู่ให้ได้ บอกตรงๆผมไม่ได้สนใจเจ้าหนี้หรอก ผมสนใจคนของผม หากผมสนใจเจ้าหนี้ ผมคงต้องพูดเพราะๆ ไม่มี 3 ไม่ใช่หรือเปล่า แต่ว่าผลกระทบมันจะกลับไปให้แบงก์เอง เพราะผมอยู่แก้ไขใช่ไหม ผมบอกแล้วว่าผมไม่หนี ผมไม่เคยสอนให้ใครโกง

ชีวิตของผมคือการลงทุน
มันก็ถูกต้อง มันแน่นอนเป็นการลงทุนอยู่แล้ว ทั้งน้ำพักน้ำแรง ความคิด แต่ส่วนหนึ่งแม้ชีวิตจะคือการลงทุน มันก็ยังไม่ถึงเป้า มันต้องสู้ด้วย ซึ่งใครๆก็พูดมานานแล้วว่าชีวิตต้องสู้ Never give an inch. นิ้วหนึ่งกูก็ไม่ถอยให้มึง
Source: M&W Magazine

No comments:

Post a Comment