Monday, April 23, 2012

ธุรกิจเครือข่ายในเมืองไทย "You are Too good to be True"

บทความนี้เป็นบทความที่ถ่ายทอด ความคิดเห็นเกี่ยวกับธุรกิจเครือข่าย ผ่านมุมมองของผู้เชี่ยวชาญด้านการตลาดและวางแผนกลยุทธ์การสื่อสารการตลาด อย่างคุณสมชาติ เจ้าของหนังสือ คิดออกนอกหน้า ได้อย่างดีเยี่ยมในมุมมองของผม ลองดูกันเลยครับ
คุณเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้กับตัวคุณมั๊ย เพื่อนสมัยประถม มัธยมที่ไม่ได้ติดต่อกันมานานนม จู่ๆ ก็โผล่มาขอนัดกินข้าวด้วย”, “มีคนชวนให้ไปเป็นเพื่อนฟังงานสัมมนาที่เกี่ยวข้องกับการปลุกพลังใจที่ใครๆ บอกว่าเวิร์คมาก”, “เพื่อนซี้มาขอให้ช่วย refer ชื่อเพื่อนฝูงในวงการสมาคมให้หน่อย ยิ่งเป็นคนชื่อเสียงเป็นที่รู้จักมากเท่าไหร่ยิ่งดี”, “มีคนมาชวนทำธุรกิจด้วยแต่ตอนนี้บอกไม่ได้ว่าเป็นอะไร มันเป็นความลับสุดยอดมาก ออกมาเจอกันหน่อยมั๊ย เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง

คงไม่ใช่เรื่องแปลกอีกต่อไป หากคนข้างๆ คุณ หรือแม้กระทั่งคนในครอบครัวของคุณนั้นมีพฤติกรรมที่เปลี่ยนไป ราวกับว่าไปถูกล้างสมองโดยจิตแพทย์ที่ไม่ได้เชี่ยวชาญเรื่องการรักษาผู้ป่วยอาการทางจิต แต่เขาเป็นนักธุรกิจที่เปลี่ยนคนปรกติให้กลายเป็นคนเชื่อมั่นเกินเหตุ พูดจาเพ้อเจ้อชวนฝัน บางครั้งอาการหนักถึงขั้นใช้ภาษาเทพ ที่คนอย่างเราๆ ฟังไม่รู้เรื่อง

คุณมีเป้าหมายอะไรในชีวิตคุณอยากรู้มั๊ยเคล็ดลับที่จะทำให้คุณมีอิสรภาพในการใช้ชีวิตโดยที่แทบไม่ต้องลงทุน

มาถึงตรงนี้ คุณคงพอจะเดาได้แล้วว่าผมกำลังหมายถึงอะไร ความคิดชั่ววูบที่แวบเข้ามาในหัว ทำให้ผมตัดสินใจระบายความรู้สึกผ่านหน้าจอนี้ ไม่ได้มีเจตนาทำเกรียนด่าใครให้เสียหาย แค่ต้องการเสนอมุมมองของคนหนึ่งคนที่ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้มจากความสำเร็จที่เกิดจากธุรกิจเครือข่าย หรือการทำ MLM (Multi-level Marketing)

แม้ว่าหลายคนจะประสบความสำเร็จกับอาชีพนี้ แต่ทั้งนี้คงต้องวัดกันที่จริตของคนด้วย ว่าเหมาะและเข้ากันได้ไหม
เพราะหลายคนกลัวและเข็ดกับการถูกหลอกเข้าไปฟังงานสัมมนาหรือถูกกดดันยัดเยียดให้ซื้อของแบบไม่เต็มใจ จึงแม้คนกลุ่มหนึ่งที่พยายามบัญญัติศัพท์ เปลี่ยนชื่อ หรือตัดต่อพันธุกรรมโมเดลใหม่ๆ ออกมาอยู่เรื่อยเพื่อลบข้อด้อยที่ถูกโจมตี ไม่ว่าคุณจะเรียกมันว่า Network Marketing, Multi-level Marketing, Affiliated Marketing, Referral Marketing Blah…Blah…Blah ผมว่ามันก็ดูไม่ค่อยต่างกันเท่าไหร่ ตราบใดที่ยังมีคำสามคำประกอบอยู่ในธุรกิจนี้ คือ Product (สินค้าหรือบริการ) + Referral (รูปแบบการขายที่เกิดจากการบอกต่อและแนะนำเป็นลูกโซ่) + Incentive (แรงจูงใจที่เกิดจากการปันรายได้เป็นขั้นบันได)
ก่อนอื่นต้องบอกก่อนนะครับว่าผมไม่ได้จงเกลียดจงชังงานขาย ตรงกันข้ามงานขายทำให้ผมได้รับประสบการณ์ตรงก่อนจะผันตัวมาทำงานด้านการตลาด
ตั้งแต่สมัยเรียนผมเคยเป็น Top Supervisor ในด้านการขายตรงให้กับ Dummy Company รวมถึงการเป็น Top Fund Raiser ให้กับหนังสือรุ่นของโรงเรียนและมหาวิทยาลัย ตั้งแต่ยังมีวัยละอ่อนเคยลองขายเครื่องกรองน้ำ อาหารเสริมที่ทำมาจากนมผึ้ง เกสรผึ้ง (Bee Pollen) สาหร่ายสไปรูลิน่า และอีกตั้งหลายตัวจนจำไม่ได้ เห็นคนอื่นทำก็ทำตามๆ กันเพราะอยากมีรายได้เสริม ไม่ต้องขอเงินพ่อแม่ โดยธรรมชาติสินค้าสุดฮ๊อตมันจะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ทำให้คนเริ่มย้ายค่ายไปเรื่อยด้วยเหตุผลนาๆ นัปการ แต่หนึ่งในนั้นคือความแข็งแกร่งของแบรนด์ และผลตอบแทน
ต่อมาการขายตรงมันเริ่มเกิดการกลายพันธุ์ไปเรื่อยๆ จาก 1 ชั้นกลายเป็น 2, 2 กลายเป็น 3, 4, 5, 6 จนไม่มีขีดจำกัด งงสับสนกับชีวิตและเริ่มรู้สึกว่ามันเป็นการพาณิชย์เกินไป มีหลายคนพยายามพัฒนาโมเดลให้มันดูซับซ้อนและน่าดึงดูดขึ้น ตรงกันข้ามกันผมรู้สึกว่ามันดูไม่โปร่งใสและอาจไม่เป็นธรรมกับใครบางคนที่ไม่เข้าใจธุรกิจนี้อย่างแท้จริง เวลาไปฟังนักขายระดับเซียนพูด ฟังดูแล้วรู้สึกฮึกเหิม แต่ก็ยังงงๆ ก่งก๊งกับวิธีการคำนวณอยู่ดี
ในยุคหลังๆ แทนที่คนขายจะเน้นนำเสนอสรรพคุณของสินค้าเป็นหลัก กลายเป็นว่าหลายคนอยากได้รายได้จากการแนะนำและสร้างเครือข่ายมากกว่าการขายสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว บางครั้งก็แอบคิดไปไกลว่าทำไมเราต้องปันรายได้ให้กับ upline ด้วย มันคงไม่แฟร์ถ้าบริษัทจะปันเปอร์เซนต์บางส่วนให้เขาเพียงเพราะว่าเขาเข้ามาก่อนในฐานะทีมผู้บุกเบิก แต่ก็มีบางบริษัทพยายามสร้างบทบาทที่ชัดเจนของ upline หากใครคนนั้นไม่ได้จริงจังต่อการสร้างทีม เขาอาจถูก downline แซงหน้าก็เป็นไปได้
การสร้างทีมเพื่อให้เป็นที่หนึ่งในสายนั้นเป็นเรื่องท้าทายมาก ยิ่งต้องทำให้มีผลงานสุดยอดจนได้เครื่องราชฯ ระดับมงกุฎเพชรนิลจินดา นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายแบบกดปุ๊บติดปั๊บ ต้องขยันสุดๆ อิสรภาพที่ใครเขาพูดกันนี้อาจกลายเป็นเครื่องสังเวยความโลภและอัตตา ที่ยิ่งอยู่สูงยิ่งมีมาก การมุ่งเอาชนะเพื่อให้ได้มาซึ่งเกียรติ รางวัล และผลตอบแทน แบบนี้ทำเท่าไหร่ก็ไม่มีวันหลุดพ้น
อ่านมาถึงตรงนี้คุณคงพอเดาได้ว่าผมอยู่ข้างไหนระหว่าง ทำมะ หรือ ไม่อ่ะ ไม่อยากทำ
เราคงปฏิเสธไม่ได้ว่ามีคนประสบความสำเร็จกับอาชีพงานขายมากมาย หลายคนเป็นคนมีชื่อเสียง บารมี ฐานันดรศักดิ์อันสูงส่ง แต่คุณเชื่อหรือไม่ว่า คนเราทุกคนไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อสิ่งนี้คนที่มีเทคนิคแพรวพราว รู้จักใช้คำพูดหว่านล้อมผู้คน มีปฏิภาณไหวพริบดี มักจะได้เปรียบ ถ้ามีความสามารถในการบริหารทีมด้วยแล้วล่ะก็ ขึ้นแท่นเป็นผู้นำได้ไม่ยาก ส่วนคนที่สักแต่มีเพื่อนเยอะ เจอหน้าขายดะ hard-sale, hard-core แถมไม่แนบเนียนในการใช้คำพูดคำจาโน้มน้าวด้วยแล้วล่ะก็ อาชีพนี้อาจทำให้รวยได้จริง แต่สุดท้ายอาจต้องแลกมาด้วยมิตรภาพที่สูญเสียไปอย่างน่าเสียดาย
ใครบ้างคือคนที่ใช่
  • มีความมั่นใจ มีไฟในตัว กระฉับกระเฉง กระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา (ยักษ์ตื่น)
  • เป็นคนมีความคิดเชิงบวก สามารถทานทนต่อการถูกปฏิเสธได้ (Yes Man)
  • สุภาพ รู้จักวางตัวในสังคมได้อย่างเหมาะสม ชอบออกงานพบปะผู้คน (Meet & Greet)
  • มีวาทศิลป์ พูดจาน่าเชื่อถือ (สาลิกาลิ้นทอง)
  • มีความสามารถในการวางแผนและการบริหารคน (ขงเบ้ง)
  • ความสำเร็จในชีวิตคือการมีส่วนช่วยทำให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จ (Inspirer/Motivator)
ใครบ้างที่เจอแล้วยี้
  • ไม่เป็นตัวของตัวเอง ถูกชักจูงโดยง่าย (ลืมตัว)
  • คิดถึงแต่ผลประโยชน์ส่วนตน เอาตัวรอดเก่ง (นักการเมือง)
  • ใช้คำพูดวกวน เข้าใจยาก (พายเรือในอ่าง)
  • ชอบเผลอแสดงอาการบางอย่างที่ดูแล้วขัดหูขัดตา (น่ารำคาญ)
  • สนใจเรื่องของตัวเองมากกว่าเรื่องของคนอื่น ไม่ค่อยมีความเกรงใจ และไม่ค่อยรู้สึกตัวเวลาถูกตำหนิหรือถูกปฏิเสธ (เรดาร์บกพร่อง)
  • เป้าหมายในชีวิตคือรวย รวย และรวย (โลภสถานเดียว)
สิ่งที่ทำให้อาชีพนี้เป็นที่น่ารังเกียจ
  • ถูกเชิญชวนให้ร่วมธุรกิจอย่างมีเงื่อนงำ: หลายคนถูกหลอกให้เข้าไปฟังในงานสัมมนาทั้งๆ ที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเข้าไปฟังหัวข้ออะไร เพื่ออะไร และด้วยความเกรงใจจึงต้องทนฟังตั้งแต่ต้นจนจบ หากถูกบิวด์จนของขึ้น หรือถูกกดดันจนต้านทานไม่ไหว สุดท้ายอาจลงเอยด้วยการซื้อสินค้าทดลองไปใช้ พร้อมใบสมัครในการ recruit downline อีกปึกใหญ่ ด้วยความไม่ซื่อสัตย์ และตรงไปตรงมา ทำให้คนที่คนถูกเชิญไปเหมือนรู้สึกถูกหลอก มีอยู่ครั้งนึงมีน้องคนนึงชวนผมไปกินกาแฟบอกว่าอยากชวนทำธุรกิจ เห็นว่าเรารู้จักคนเยอะ ธุรกิจนี้น่าจะท้าทายความสามารถของเรา ด้วยความที่ไม่คิดอะไร ก็เลยไปตามนัด สุดท้ายพอรู้ว่าเป็นธุรกิจ MLM ของยี่ห้อ U… ผมก็รีบปฏิเสธทันที ไม่ใช่เพราะของของเขาไม่ดี แต่เพราะเราเสียความรู้สึกกับการถูกหลอกออกไปฟังในสิ่งที่มันไม่ตรงกับความคาดหวัง  ต่อไปนี้พอเจอใครมาไม้นี้ จะถามดักก่อนเลยว่าใช่มั๊ยเพราะถ้าเรื่องแค่นี้ยังพูดออกมาตรงๆ ไม่ได้ อย่าเป็นเพื่อนกันเลยดีกว่า
  • สินค้าหรือบริษัทดูไม่น่าเชื่อถือ: สินค้าบางแบรนด์ดูไม่ค่อยมีที่มาที่ไป ตรา อย. มีรึเปล่ายังไม่รู้เลย แต่ทุกรายมักเคลมสรรพคุณของมันว่าพระเจ้าจอร์จมันยอดมากหากคุณได้รับจดหมาย อีเมล์ SMS ที่มีข้อความประมาณว่าคุณคือผู้โชคดี ถูกรางวัลต่างๆ นาๆ ให้สัณนิษฐานไว้ก่อนว่ามันเป็นไปได้ไง?” “เขารู้จักเราได้ไง?” “บริษัทนั้นมีตัวตนจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้มีข้อพิรุจน์อะไรในข้อความรึเปล่า การเชิญเราไปรับของรางวัล หรือซื้อของในราคาพิเศษสุดๆ โดยที่ต้องเสียค่ามัดจำ อะไรก็ไม่รู้ ฟันธง มันคือ SPAM หรือโฆษณาหลอกลวงแน่นอน มีหนังสืออยู่หัวนึง ยี่ห้อขึ้นต้นด้วยตัว “R” ชอบส่งจดหมายอะไรประมาณนี้มาให้ ยังไม่นับพวกโรงแรมที่เชิญไปฟังสัมมนาขาย Package ที่ราคาถูกเกินจริง อันนี้ต้องระวังครับ เพราะเวลาเราฟังเข้าไปมากๆ เหมือนถูกโดนแตะด้วยยาผีบอก เขาให้ทำอะไรยอมทำตามไปหมด โดยหารู้ไม่ว่า ในงานสัมมนานั้นมีเหยื่อคล้ายๆ เราประมาณนึง และที่เหลือเป็นหน้าม้าทั้งนั้น
  • ใช้เงินและผลตอบแทนมาเป็นตัวล่อ: แน่นอนครับว่าลึกๆ แล้วทุกคนอยากลืมตาอ้าปากได้ และถ้าเป็นไปได้คงอยากรวยแบบว่าใช้ชีวิตสุขสบายโดยไม่ต้องหลังขดหลังแข็งตื่นแต่เช้าไปทำงานเหมือนมนุษย์เงินเดือนทั่วไป จุดอ่อนของคนทั่วไปคือ..อยากสบายโดยไม่ต้องออกแรง และวิธีสร้างเรื่องด้วยการยกตัวอย่างของคนธรรมดาที่เริ่มต้นทำธุรกิจไม่นาน แล้วมีรายได้เป็นหลักแสน มีรถให้ขับ แถมยังได้ไปเที่ยวเมืองนอกอีก แค่นี้ก็ทำให้คนเดินดินกินข้าวแกงไปวันๆ สามารถนอนฝันกลางวันแบบลืมตื่น มุขนี้แม้จะใช้ไม่ได้ผลกับทุกคน โดยเฉพาะกับคนที่เป็นหมอ นักธุรกิจที่มีอันจะกินอยู่แล้ว ประโยคยอดฮิตคือ ขนาดคุณที่เขารวยเป็นพันล้าน เขายังกระโดดเข้ามาทำธุรกิจนี้เลย แสดงว่าธุรกิจนี้มันต้องมีศักยภาพมากไม่งั้นเขาคงไม่เบนเข็มจากธุรกิจหลักมาทำธุรกิจนี้อย่างเต็มตัวเอาเข้าไป นี่เอ็งกะให้ฉันเชื่อว่าฉันสามารถรวยเท่าเขาเลยใช่มั๊ย จำไว้เลย ไม่มีอะไรได้มาโดยไม่ลงทุน อะไรที่ได้มาง่ายดาย มักจะอยู่กับเราไม่นาน จริงๆ นะ
  • ผลประโยชน์ไม่เข้าใครออกใคร: ธุรกิจเครือข่ายแบบหลายชั้นมีอยู่ลักษณะหนึ่งที่คล้ายกันคือ การมี Upline ซึ่งถือเป็น Sponsor ให้กับสมาชิกใหม่นั่นคือ Downline เมื่อเข้ามาร่วมทีมแล้ว Downline มีหน้าที่จ่ายค่าสามิภักดิ์ด้วยการถูกแบ่งเปอร์เซ็นต์ให้กับท่านผู้นำ แม้ว่าในบางโมเดล Downline ที่แข็งสามารถจะขึ้นมาแซงผู้นำได้ก็ตาม แต่ตัวขับเคลื่อนสำคัญคือผลประโยชน์และค่าตอบแทนที่ทำให้ทุกคนที่เอาจริงกับธุรกิจนี้ต้องพยายามรักษาฐานของตัวเองไม่ให้ใครเข้ามาช่วงชิง และอีกสิ่งหนึ่งที่สังเกตได้คือใครที่เข้ามาในธุรกิจนี้ช้าจะรู้สึกเหมือนว่าตัวเองเป็นลูกเมียน้อย ถ้ามีโอกาสดีมีแบรนด์ใหม่เข้ามาเมื่อไหร่ ก็อาจรีบย้ายค่ายไปตั้งทีมใหม่เพื่อหวังว่าตัวเองจะเป็นทีมแรกๆ บนสามเหลี่ยมปิรามิดนั้น หากความจงรักภักดีไม่มีอยู่จริงในวงการนี้ ใครช่วยตอบหน่อยว่า คนที่ทำธุรกิจนี้เขาทำเพื่ออะไรกัน?” หากความฝันอันสูงสุดคือการได้ยืนอยู่จุดสูงสุดของปิรามิด นั่นแสดงว่าสินค้ายี่ห้อก็คงไม่ต่างกันแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าใคร pay หนักกว่ากันเท่านั้นเอง จังหวะและโอกาสทำให้คนเปลี่ยนไป เห็นความโลภของตัวเองได้ชัดเจนขึ้นมาก
  • เชื่อฉันอย่าหลงไปเชื่อใคร: สี่เหตุผลแรกสำหรับผมถือเป็นเรื่องเคยชินที่ฟังและเห็นมานับครั้งไม่ถ้วน พอเข้าใจได้อยู่ถึงเหตุปัจจัยที่ทำให้คนเกิดกิเลสจากความอยากได้ อยากมีและอยากเป็น แต่เหตุผลสุดท้ายนี้เป็นเรื่องที่ผมรับไม่ได้มากที่สุด คือการหลงเชื่อคำพูดของคนอื่น จนกระทั่งเสียความเป็นตัวของตัวเอง เคยมั๊ยที่เห็นใครคลั่งลัทธิอะไรมากๆ แล้วรู้สึกเหมือนเขาเปลี่ยนเป็นคนละคน หายใจเข้า ก็เฮ่อเธอ หายใจออก ก็เฮ่อเธอ ที่พูดอย่างนี้เพราะคนใกล้ตัวเป็นกันเยอะมาก พอเริ่มได้ยินว่าคุณต้องการอิสรภาพทางการเงิน….” หรือไม่ก็่เป้าหมายอะไรในชีวิตที่มีความสำคัญต่อคุณมาก…” พอเหอะช่วยพูดภาษาคนปกติก็ได้ พอใช้ศัพท์แสงที่เหมือนกันแปลมาจากคำศัพท์ภาษาอังกฤษ เช่น Financial Freedom, Key Achievement, Life Goal ผมรู้สึกเหมือนกำลังคุยกับเจ้าเข้าทรง ที่ไม่รู้สึกเนื้อรู้สึกตัวว่ากำลังพูดอะไรออกไป หากคุณยังไม่สามารถสรรหาคำพูดที่เหมาะกับปากของคุณ หากคุณยังไม่สามารถปรับตัวให้ดูเป็นธรรมชาติ ผมว่าอาชีพนี้มันดูโหดร้ายเกินไปเพราะมันทำให้ผมลืมไปว่าคุณยังเป็นเพื่อนคนเดิมของผมอยู่
จริงๆ แล้วโมเดลธุรกิจเครือข่ายนั้นไม่ได้ผิด แต่ถ้าจะผิดก็คือคนที่ทำให้วงการนี้มันกลายเป็นสีเทา คนที่กระโดดเข้ามาทำธุรกิจด้วยความไม่พร้อม ไม่รู้สึกตัว และไม่รู้สึกรับผิดชอบ
แม้ว่าทักษะการขายจะสามารถสร้างขึ้นมาได้ แต่คุณไม่สามารถสร้างได้เนียนเท่ากับคนที่มีพรสวรรค์ติดตัว ก่อนที่จะกระโดดเข้าในวงการนี้ นี่คือคำเตือนสติ 3 ข้อที่อยากให้คุณใส่ใจ
1. หากคุณอิสรภาพที่คุณต้องการ คือการได้เป็นนายของตัวเอง งานขายไม่ได้ตอบโจทย์คนทุกคน สิ่งที่ตอบโจทย์ความฝันของคุณคือการได้ทำสิ่งที่ตัวเองรัก และมีความสุขกับสิ่งที่ตัวเองทำโดยสมบูรณ์
2. มีวิธีที่ทำให้คุณรวยตั้งหลายวิธี หาของมาขายบนเน็ต เล่นหุ้น ตุนทอง ปล่อยอพาร์ทเมนต์คอนโดให้เช่า ลงทุนกับเพื่อนทำธุรกิจ จะรวยมากหรือน้อยขึ้นอยู่กับจังหวะและโอกาส บวกกับความสามารถในการยอมรับความเสี่ยง ไม่มีอาชีพใดที่ได้เงินมาง่ายๆ โดยไม่ลงทุน หรือถ้ามีอาชีพนั้นมักเป็นอาชีพที่ผิดศีลธรรม
3. ถ้าอยากประสบความสำเร็จในอาชีพใดๆ ให้ศึกษาข้อมูลอย่างถ่องแท้ ตรวจสอบประวัติและเงื่อนไขของบริษัทโดยละเอียด อย่าหลงเชื่อสิ่งที่คนกล่าวอ้างอย่างหัวปักหัวปำ ควรฟังหูไว้หัว คนที่ชอบ psycho เรามักมีความคิดที่ bias หรือโน้มเอียง อย่าใช้แค่ใจแต่ให้ใช้สมองและสติปัญญาตรึกตรองว่าสิ่งที่เราเลือกทำนั้นเหมาะกับเราจริงๆ ไม่ได้ทำเพราะอิงกระแส หรือเพราะความโลภ
หากคุณคือคนหนึ่งที่ได้ดีจากอาชีพนี้..ผมขอแสดงความยินดีด้วยใจจริง คุณคือบุคคลตัวอย่าง ผู้ที่ประสบความสำเร็จจากวิชาชีพด้วยความสุจริต ด้วยน้ำพักน้ำแรง และด้วยความสามารถล้วนๆ แต่มันคงเป็นเรื่องที่น่าภาคภูมิใจไม่ใช่น้อย หากคุณจะช่วยคัดคนเข้าสู่วงการ ก่อนที่จะให้เขาไปต่อ ช่วยกำจัดบริษัทนอกรีต แบรนด์นอกคอก และพวกมิจฉาชีพที่จ้องเอาเปรียบผู้ที่มีความรู้น้อยกว่า ปล่อยให้เขาบินเข้ามาติดกับ เป็นแมงเม่าบนกองเพลิง กว่าจะรู้สึกตัวก็หมดเนื้อหมดตัวหรือเสียชื่อไปเสียแล้ว
เพราะคำว่า เงิน”, “ชื่อเสียง”, “อำนาจรวมกันเป็นคำว่า กิเลส ตัวเดียว ทำให้คนเราขาดความยึดมั่นต่อคุณธรรมความดี ได้เท่าไหร่ไม่รู้จักพอ มีเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ ตราบใดที่เรายังเป็นปุถุชนคนธรรมดา เราคงไม่สามารถสลัดกิเลสตัวหนาๆ ออกไปได้หมด แต่อย่างน้อยอย่าให้มันนำหน้าเราจนกระทั่งเราลืมไปว่า ความสำเร็จในชีวิตของคนเรามันไม่ได้จบที่เงินเพียงอย่างเดียว ความสุขที่แท้จริง คือความภาคภูมิใจในสิ่งที่เราเป็น การได้ใช้ศักยภาพความสามารถอย่างเต็มที่โดยไม่รู้สึกเสียดายโอกาส และการรู้จักแบ่งปันเผื่อแผ่ความสุขนั้นให้กับผู้อื่น
อยากจะเป็นอะไร ก็ขอให้เป็นสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยากจะทำอะไร ก็ขอให้ทำสิ่งนั้นให้ดีที่สุด
อยากจะได้อะไร ก็จงให้สิ่งนั้นให้มากที่สุด
ในดีมีเสีย ในเสียมีดี เราต้องรู้จักแยกแยะให้ดี มิฉะนั้นเรื่องดีอาจทำให้เราเสียดาย เสียใจ และเสียอะไรต่อมิอะไรอีกตั้งมากมายที่ไม่ควรเสีย ขอให้ทุกท่านประสบความสำเร็จในหน้าที่การงาน ไม่ว่างานนั้นจะได้เงิน หรือจะได้กล่อง แต่ถ้าเราสามารถเชิดหน้าแล้วกล้าพูดได้ว่านี่คือส่ิงที่เราภูมิใจ ไม่ได้เบียดเบียนใคร และไม่ได้ทำให้ใครทุกข์ใจ ก็จงทำดีต่อไป และขอให้ได้ดีจากสิ่งที่ตัวเองทำในทุกเรื่องที่เป็นเรื่องดี ๆ ขอบคุณครับ
ปล. กราบขออภัยหากบทความนี้ ไปกระทบกระทั่งคนส่วนใหญ่ที่ไม่ได้เข้าข่ายนี้
Source: เขียนโดย Somchart Leelakraisorn http://somchartlee.wordpress.com

No comments:

Post a Comment