Wednesday, February 15, 2012

เข้าใจวิกฤตเศรษกิจแบบง่ายๆ


ผมมีความเชื่อส่วนตัวว่า ทุกอย่างในโลกนี้มี Cycles ของมันเองและก็เชื่อต่อไปด้วยว่า ถ้าเราเรียนรู้จากความผิดพลาดในอดีตแล้ว มันจะสามารถให้ข้อมูลเราในการเตรียมตัวสิ่งที่จะเกิดขึ้นไม่มากก็น้อย เพราะผมเชื่อว่า history repeats itself วันนี้เลยอยากลองเขียนเรื่องวิกฤตเศรษกิจที่ผ่านมาดู เพื่อจะเก็บไว้ใน library นี้เป็นข้อมูลตามความเข้าใจของเรา
ต้องทำความเข้าใจก่อนว่าคำว่า history repeats itself ในแง่วิกฤตเศรษกิจนี่ไม่ได้หมายความว่ามันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติประมาณว่ายังไงซะมันต้องเกิด แต่มันเป็นเพราะ ความโลภ ของมนุษย์เองที่สร้างมันขึ้นมาและก็  enjoy กับสิ่งต่างๆที่เราสร้างมา ทุกอย่างดูเหมือนจะดี แต่ปัญหา !! อยู่ที่นี่คร้าบ ในแง่การลงทุนหรือการเงินนี่ ส่วนตัมผมมมองมันคือ Money Games ที่ Winners take All คืออะไร ก็ปลาใหญ่กินปลาเล็ก คนที่โลภและอยู่ในวงจรนี้ รู้ไม่ทันหรือออกมาไม่ทันก็จะกลายเป็นเหยื่อให้กับผู้ที่สามารถควบคุมกระแสเงินหรือควบคุม Games ได้

 เอาละยกตัวอย่างให้เห็นภาพ Subprime Crisis ตอนปี 2008 ที่เกิดขึ้นเพราะ ความโลภและการการคอรัปชัน อย่างเป็นระบบในสหรัฐอเมริกาโดยภาคธุรกิจการเงิน และผลพวงของมัน วิกฤต Subprime จะไม่เกิดขึ้นเลย หากผู้ที่ควบคุมกฎกติกา ทำงานอย่างจริงจังโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว
ในช่วง ค.. 1940 -1980 เศรษฐกิจสหรัฐอเมริกาเจริญเติบโตอย่างไม่หยุดยัง โดยไม่มีวิกฤตการเงินแม้แต่ครังเดียว เพราะว่าภาคธุรกิจการเงินถูกควบคุมโดยกฎเกณฑ์อย่างแน่นแฟ้น ในทศวรรษ 1980 ภาคธุรกิจการเงินขยายตัวอย่างรวดเร็ว แต่ปรากฏว่าในช่วง 1981-2011 กลับกลายเป็นยุคเสรีที่ผ่อนปรนกฎเกณฑ์ควบคุม (deregulation) ภาคธุรกิจการเงินจนเกิดวิกฤตย่อยในปลายทศวรรษ 1980 ธุรกิจการเงินหลายแห่งรวมตัวกันกลายเป็นยักษ์ใหญ่ไม่กี่แห่ง

มีการแก้ไขกฎหมายเพื่อผ่อนปรนกฎเกณฑ์ควบคุม เพราะเชื่อทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ที่ว่าการมีกฎเกณฑ์น้อยลงทำให้เกิดความคล่องตัวทางธุรกิจ ต้นทุนจะต่ำลงกลไกตลาดที่สาธารณชนเห็นการทำงานอย่างชัดเจนจะผลักดันให้เกิดประสิทธิภาพ และผู้ได้รับประโยชน์คือประชาชน

การกู้ยืมอย่างเสรีโดยธุรกิจการเงินนำไปสู่การผสมกันของธุรกิจไฮเท็คและกฎเกณฑ์ที่หย่อนยานจนเกิดสิ่งที่เรียกว่าอนุพันธ์ทางการเงิน (derivatives) ซึ่งมีความซับซ้อนโยงใยกันระหว่างหลายธุรกรรมเพื่อการสร้างกำไรของธุรกิจการเงิน ตัวอย่างเช่นมีการออกตราสารการเงินที่ีมูลค่าขึ้น อยู่กับปริมาณหิมะตก ฝนตก การเปลี่ียนแปลงของอัตราดอกเบีย ดัชนีราคาหุ้น ฯลฯ พูดง่าย ๆ ก็คือสามารถเอาทุกสิ่งมาเล่นพนันได้ผ่านตราสารการเงินที่มีหลากหลายรูปแบบ

ช่วงต้นทศวรรษ 2000 ภาคธุรกิจการเงินถูกครอบงำโดย 5 ยักษ์ใหญ่ Investment Banks (วานิชธนกิจ ซึ่ึงเป็นธนาคารที่ีทำหลากหลายธุรกรรมกว่าธนาคารธรรมดาที่เรารู้จักกัน) คือ Goldman Sachs/ Morgan Stanley/ Lehman Brothers/ Merrill Lynch/ และ Bear Stearns บวกสองยักษ์ใหญ่ทางการเงินคือ Citigroup และ J.P. Morgan บวกสาม บริษัทประกันคือ AIG/ MBIA/ AMBAC และสามผู้ประเมิน (Rating Agencies) คือ Moody’s/ Standar Poors/ Fitch ทั้งหมดนี้ร่วมกันหากินคล้ายการเป็นวงจรอาหารของสัตว์ กล่าวคือธนาคาร ทั้งหลายที่ปล่อยเงินกู้ให้แก่ประชาชนอย่างไม่พิจารณาเข้มข้น (sub-prime loans) ขายหนีให้แก่วานิชธนกิจ ซึ่งเอามารวมกันกับหนี้อย่างอื่นๆ ให้เป็นหลักทรัพย์คำประกันการออกตราสารอนุพันธ์ซึ่งเรียกว่า CDO’s (Collateralized Debt Obligations) แล้วเอาไปขายให้นักลงทุนทั่วโลก ประชาชน, นักลงทุนหรือ กองทุนลงทุน ก็ให้เงินกู้แก่วานิชธนกิจซึ่ึงก็คือการซืออนุพันธ์นี้เพราะได้ดอกเบีย ในอัตราน่าสนใจ

นักลงทุนเหล่านีก็มั่นใจในอนุพันธ์นี้ว่าเป็นการให้กู้ที่เชื่อได้ว่าจะได้เงินคืนในอนาคตแน่นอนเพราะสามยักษ์คือ Moody’s/ Standard & Poors และ Fitch มักประเมินให้ในระดับ AAA เสมอ วานิชธนกิจยักษ์ก็ได้กำไรจากการซือหนี้และหลักทรัพย์มาและเอามาเป็นหลักทรัพย์และออกอนุพันธ์ได้เงินกู้มา บริษัทประกันก็ได้จากการที่ีวานิชธนกิจเหล่านีเอา CDO’s มาประกัน สาม Rating Agencies ก็ได้จากการประเมินอนุพันธ์ ถ้าประเมินว่าดีก็ได้ค่าธรรมเนียมสูง ทุกคนได้หมดยกเว้นผู้ลงทุนปลายทางที่มีอยู่ทั่วโลกโดยเฉพาะในยุโรปใน

ตอนท้ายเมื่อต้นน้ำคือผู้กู้เงินมาซือบ้านไม่มีปัญญาผ่อนส่งเพราะเศรษฐกิจเกิดผันผวนการสะดุดขึ้นเช่นนีก็ส่งผลกระทบต่อไปเป็นลูกโซ่ เมื่ือบ้านถูกยึดและปล่อยเข้าตลาดมากขึนราคาหลักทรัพย์ก็ตกลง หลักทรัพย์คำประกัน CDO’s ก็มีค่าลดลง ส่งผลให้มูลค่าอนุพันธ์มีค่าลดลง ใครซื้อไว้ก็มีมูลค่าลดลงจนเป็นศูนย์ วานิชธนกิจยักษ์ใหญ่การเงินตลอดจนบริษัทประกันก็ถูกกระทบเพราะหลักทรัพย์ที่ีตนถือไว้มีค่าลดลง ผู้คนตื่ืนตระหนักพากันขาย CDO’s แต่หาคนซื้อไม่ได้ สถานการณ์ก็เลวร้ายลงทุกที ผู้ซื้ออนุพันธ์ต่างสูญเงินกันยับเยิน

คำถามก็คือ แล้วทางการสหรัฐปล่อยให้เกิดขึ้นได้อย่างไร? มองไม่เห็นหรือว่าวิกฤตกำลังมาเยือน คำตอบ ก็คือมีคนเห็นว่าการขาดการควบคุมการออกอนุพันธ์และ CDO’s ตลอดจนการขาดกฎเกณฑ์กำหนดต่างๆ ที่เหมาะสมคือจุดเริ่มต้นของความหายนะ แต่ไม่มีการฟังกัน ทางการสหรัฐก็เดินหน้าผ่อนปรนกฎเกณฑ์ต่อไป

เห็นไหมคร้าบว่าการที่ภาคธุรกิจการเงินพยายามปิดกันมิให้มีกฎเกณฑ์ที่แน่นแฟ้นเพราะทำกำไรให้ทุกฝ่ ายอย่างมหาศาล บาง CEO ของยักษ์ทั้งห้าก็หมุนเวียนเปลี่ยนกันมาเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของประธานาธิบดี บางคนก็ไปเป็นกรรมการบริษัทเหล่านี อาจารย์มหาวิทยาลัยที่ีหลายคนเป็นนักเศรษฐศาสตร์มีชื่อของโลก ก็เชียร์การผ่อนปรนกฎเกณฑ์และตัวเองก็ได้ประโยชน์มหาศาลจากนโยบายเหล่านีด้วย

แม้จะเกิด Subprime Crisis แต่ CEOs และผู้เกี่ยวข้องในภาคธุรกิจเหล่านี้ล้วนได้เงินกันไปคนละหลายร้อยล้านเหรียญ ถึงแม้บริษัทจะล้มระเนระนาดก็ตาม และไม่มีใครติดคุกสักคน!!

คราวนี่รู้แล้วใช่ไหมคร้าบว่า ทำไม่ถึงได้มีการก่อกำเนิดกลุ่ม "Occupy Wall Street" ในภายหลังขึ้นเพื่อประท้วงกลุ่มคนเหล่านี้ เพราะผู้คนเริ่มเข้าใจมากขึ้นว่า ความโลภนี้ก่อให้เกิดปัญหาใหญ่กระทบต่อสังคมโดยกว้าง และเห็นถึงความเลวร้ายของระบบที่ีมีความโลภเป็นตัวขับเคลื่อน

ปัจจุบันแม้ Obama จะดูเป็นคนรุ่นใหม่มีแนวคิด Changes ตามที่หาเสียงไว้ก็ตาม แต่อิทธิพลเก่าก็ยังคงกลับมาอีก Wall Street สัญลักษณ์ตัวแทนของยักษ์ใหญ่ธุรกิจการเงิน ยังทรงอำนาจมหาศาลในการเมืองอย่างไม่หายไปไหน

ลองดู Jonathan Jarvis อธิบายเรื่อง  Subprime Credit Crisis แบบง่ายๆข้างล่างนี้ ลองดูคร้าบ


Creditted by: Varaporn Samkosaid, Matichon / Jonathan Jarvis 

kumpol: fEB 15, 2012

No comments:

Post a Comment