Tuesday, February 21, 2012

ศิลปะการทํางานให้มีความสุข

ศิลปะการทํางานให้มีความสุขบทความดีๆจาก ว.วชิรเมธี หัวข้อทํางานอย่างไรให้มีความสุขเป็นหัวข้อของอาตมา ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้

1. ทํางานที่ใจรัก เพราะถ้าเราทํางานที่ใจรักทุก ๆ วันจะเป็นวันแห่งความสุข เราไม่ต้องรอว่า ความสุขจะมาถึงเราวันเสาร์-อาทิตย์แต่ทุกวันที่เราทํางานจะเป็นวันแห่งความสุขของเราเพราะว่า เราทําด้วยความรัก

2. ทํางานทุกชิ้นให้เต็มที่ให้ดี เพราะเมื่อเราสร้างงาน งานจะย้อนกลับมาสร้างคน งานคือเวทีแสดงออกซึ่งศักยภาพในการทํางานของเราทุกครั้งที่เราทํางานให้เต็มที่และทําอย่างดีที่สุด คนก็จะเห็นคุณค่าของเราว่ามีมากน้อยเพียงไร ดังนั้นเมื่อเราตั้งใจสร้างงาน งาน 1 ชิ้นก็จะย้อนกลับมาสร้างคน

3. ทํางานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต โปร่งใสเพราะเมื่อเราทํางานด้วยความสุจริตก็ไม่ต้องมานั่งระแวงภัยที่จะตามมาในอนาคตซึ่งเกิดจากการตามจับผิด โดยหน่วยงานของทางการต่างๆ ถ้าเราทําวันนี้ให้ถูกต้องก็ไม่ต้องนั่งกังวลว่าวันวานมันจะผิด

4. เป็นนักประสานสิบทิศ อย่ามัวแต่ทํางานจนหลงลืมสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับเพื่อนร่วมงานไม่มีใครเก่งอยู่ได้คนเดียว แท้ที่จริงเราจะต้องอาศัยผู้ร่วมงานจากทุกฝูายอยู่เสมอ ดังนั้นอย่ามัวแต่ทํางานแต่จงทําคนด้วย เพื่อก่อให้เกิดสภาวะงานก็สาเร็จ ชีวิตก็รื่นรมย์ คนก็สาราญ งานก็สําเร็จใครทํางานได้อย่างนี้คน ๆ นั้นจะเป็นคนที่ประสบความสําเร็จในการทํางาน จนกล่าวได้ว่า งานก็สําเร็จชีวิตก็รื่นรมย์

ถ้าไม่ได้ทํางานที่เรารัก จะมีความสุขหรือเปล่า?

ตอบได้อย่างนี้ ถ้าไม่ได้ทํางานที่เรารัก วิธีคิดที่ดีคือการมองเชิงบวก เวลาเจองานหนักก็ให้บอกตัวเองว่านี้คือการฝึกตัวเอง เวลาเจอปัญหาซับซ้อนก็บอกตัวเองว่ายิ่งปัญหาซับซ้อนเราก็ยิ่งได้เรียนรู้มากขึ้น เวลาเจอเจ้านายที่ละเมียดละไมเหลือเกินก็ให้บอกตัวเองว่า นายที่รอบคอบแบบนี้จะฝึกเราให้สมบูรณ์แบบ ฉะนั้นถ้าเรามองเชิงบวกให้เป็นถึงแม้เราจะไม่ได้ทํางานที่เรารักแต่เราก็จะมีความสุขเสมอ ในเมื่อไม่มีสิ่งที่เราชอบ เราก็ควรชอบสิ่งที่เรามี เพราะในโลกนี้ไม่มีใครได้อะไรอย่างใจหวัง และจะไม่มีใครพลาดหวังทุกอย่างไป ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทํามีแง่ดีแง่งามอยู่เสมอขอให้เรามองให้เห็น ถ้ามองเห็นเราก็จะเป็นสุขกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า

วิธีการมองเห็นทําอย่างไร ถึงจะมองเห็น กับสิ่งที่อยู่ตรงหน้า?

คุณสมบัติที่จะเปลี่ยนทุกข์ให้เป็นสุขนั้น มี 2 อย่าง

1. สังเกต สังเกตหาแง่ดีแง่งามของสิ่งต่าง ๆ ที่เราทําอยู่ให้เจอ เช่น งานของพระอาจารย์เป็นงานที่
ต้องเดินทางบ่อยมากไปเทศน์ไปสอนตลอด หลายคนก็บอกว่าเหนื่อยมาก ๆ ถ้ามาถามพระอาจารย์จะบอกว่ามันเหนื่อยก็จริงแต่มีความสุขมากเพราะได้เดินทางไปทั่วโลก ได้เจอผู้คน ได้พบภูมิประเทศใหม่ ๆ ได้สานสัมพันธ์ใหม่ ๆ ตลอดเวลา ฉะนั้นในความเหนื่อยเราก็ได้เดินทางท่องไปทั่วทั้งโลก นี่คือแง่ดีแง่งาม แต่ส่วนใหญ่คนมักจะมองอยู่จุดเดียว มองแค่ว่าเรากาลังเหนื่อยหนักจริง ๆ เหนื่อยก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนที่ดีเมื่อพิจารณาจริงๆ แล้วมันมีมากกว่า ให้เราสังเกตอย่างนี้ รู้จักสังเกต รู้จักพินิจ พิจารณา เราจะเห็นความแตกต่างเสมอ

2. สังเกตแล้วต้องสังกาให้ตั้งคำถาม ว่าเราจะสร้างสรรค์งานที่เราทําอยู่ให้ดีขึ้นได้อย่างไร ถ้าเรา
ถามว่า ทําไม ทําไม ทําไมุ ก็จะเกิดนวัตกรรมใหม่ ๆ ขึ้นมาทุกครั้งไป กาลิเลโอก็ดี นิวตั้นก็ดีประสบความสาเร็จในชีวิตเพราะว่า เขาชอบตั้งคำถามว่าทําไม นั่นแหละเคล็ดลับในการทํางาน

ทํางานที่ชอบ แต่เงินเดือนน้อย มองอย่างไรให้เป็นสุข?

ถ้าเงินเดือนน้อยก็ต้องลดการใช้จ่ายที่ไม่จาเป็นของเราทิ้งไป แทนที่จะไปเรียกร้องเงินเดือนให้สูงขึ้นกว่าจะได้ก็ช้ามาก ก็ใช้วิธีปรับวิธีในการบริโภคของเราลง ที่จะบริโภคต่างความอยาก ซึ่งเติมอย่างไรก็ไม่เต็มมาบริโภคตามความจาเป็น ดีกว่ามุ่งประโยชน์ใช้สอยอย่างมุ่งประโยชน์ใช้สอย ถ้าเราจับจ่ายใช้สอยในการถือหลักประโยชน์ใช้สวยมีเท่าไหร่ก็ไม่พอ แต่ถ้าเราถือหลักจับจ่ายใช้สอย คือจาเป็นแค่ไหนก็จับจ่ายใช้สอยแค่นั้น พอกินพอใช้ ถึงแม้ไม่รวยแต่ก็ไม่ถึงขั้น ตกต่าย่าแย่ แทนที่เราจะเรียกร้องเงินเยอะ ๆ ทําไมเราไม่ลดหรือเปลี่ยนวิธีในการบริโภคของเรา แทน บริโภคต่างตัณหาทาให้เรามีเงินเท่าไหร่ก็ไม่พอใช้ แต่บริโภคตามปัญญาถึงเงินไม่มากมายอะไรแต่เราก็มีความสุขตามสมควร

วิธีการแก้ปัญหาในที่ทํางาน ทั้งโดนนินทา โดนแกล้ง

ให้ถือซะว่ามารไม่มีบารมีไม่เกิด เวลาที่เราทํางานต้องมีอยู่แล้วคนแกล้งคนไม่พอใจคนอิจฉาตาร้อนให้เราถือหลักว่า

1. มารไม่มีบารมีไม่เกิด
2. สิ่งใดเกิดขึ้นแล้วสิ่งนั้นกาไรเสมอ
3. อยู่ใต้ฟ้าอย่ากลัวฝน เกิดเป็นคนอย่ากลัวคานินทา
4. ถูกชมก็เข้าท่าถูกด่าก็ไม่เลว เหล่านี้เป็นคติที่พระอาจารย์ใช้ทํางานอยู่เสมอ จึงสามารถรับมือได้ทุกกระบวนท่า

กว่าจะผ่านปัญหาไปได้ ต้องฝึกฝนตัวเองอย่างไร?

จะต้องทําตัวให้หนักแน่นดังแผ่นภูผา ลมมาพัดก็ไม่ปลิวไปตามลม ฝนสาดก็ไม่เปื่อยสลาย แดดส่องก็ไม่ละลายไปกับแสงแดด ฉะนั้นทําตัวให้หนักแน่นดั่งแผ่นภูผาเราก็จะอยู่ในทุกสภาวะของชีวิต

กรณีสาหรับคนที่ตกงาน มีวิธีคิดอย่างไรไม่ให้เครียด?

1. ต้องหางานทํา
2. หาแล้วไม่ได้ต้องสร้างงานขึ้นมา ตกงานได้แต่อย่างให้ใจตก เพราะถ้าใจตกชีวิตจะตกต่าทันทีดังนั้นไม่ต้องเสียใจ คนที่ รวยที่สุดในโลกตอนนี้ สตีฟ จอบส์ ก็เคยตกงาน แต่ว่าเขาตกงานแล้วไม่ตกใจจึงลุกขึ้นมาสร้างบริษัทใหม่ในที่สุดก็ประสบความสาเร็จได้ ฉะนั้นเราตกงานได้แต่ไม่ได้หมายความว่าความรู้ความสามารถของเราตกไปด้วย มันยังอยู่กับตัวเรา ก็เอาความรู้ความสามารถที่อยู่ในเนื้อในตัวเราลุกขึ้นมาสร้างงานใหม่ทาอย่างนี้แล้วเราจะประสบความสาเร็จได้ โอกาสยังคงมีเสมอสาหรับผู้ที่ไม่ปิดกั้นตัวเอง ต้องหาความรู้เพิ่มเติมให้ถือหลักพึ่งตนเองอย่ารอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ในบรรยากาศที่บ้านเมืองอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่ปกติการพึ่งตนเองสาคัญที่สุดเลย

ถ้ายังไม่ได้งานแล้วหันไปพงึ่ สิ่งศักด์ิสิทธ์ิ ผิดหรือเปล่า?

เอาวันเวลาที่ไปบนบานสานกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์นั้น มาพินิจ พิจารณาหาช่องทางทํากิน สิ่งศักดิ์สิทธิ์ช่วยเราได้ในทางจิตวิทยาคือทาให้เราเคลิ้มๆแต่ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาที่แท้จริง พูดอีกอย่างหนึ่ง สิ่งศักดิ์สิทธิ์เป็นยาทา การใช้ปัญญาเป็นยากิน การรักษาโลกต้องใช้ยากิน การใช้ยาทาก็เป็นการรักษาแต่ภายนอก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ถ้าศักดิ์สิทธิ์จริงประเทศไทยจะมีคนจนไหม ไม่มีุประเทศที่มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากที่สุดในโลกคืออินเดีย ปรากฏว่ามีประชากรกว่าร้อยล้านคนตกงานนี้คือบทเรียนของการรอพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ฉะนั้นให้หันมาพึ่ง ลาแข้ง ลาขา สติปัญญาของตัวเองจึงจะดีที่สุด

น้อยใจทํางานมานานแล้วไม่มีโบนัส มีวิธีคิดอย่างไร…?

ถ้าโบนัสไม่มาเอาเท่าที่มีก่อนก็ได้ มีคนอีกมากที่ตกงานแต่เรายังมีงานทํา มองเป็นก็จะเห็นธรรมแต่ถ้ามองไม่เป็นก็จะมาน้อยใจ เวลาที่เรารู้สึกแย่มองคนที่แย่กว่าเรา แล้วเราจะรู้สึกว่าเรายังได้เปรียบอยู่

ถ้าเป็นพวกที่บ้างานหนัก จะทาอย่างไร?

ต้องแสวงหาทางสายกลาง พวกที่เป็นโรค Workaholic ทั้งหลาย จะต้องแสวงหาทางสายกลางในการทํางาน การทํางานต้องประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของมือทํางานระดับอาชีพการทํางานประสานกับคุณภาพของชีวิตคือผลสัมฤทธิ์ของคนทํางานมืออาชีพ ฉะนั้นอย่างเป็นคนบ้างานจนหลงลืมคุณภาพของชีวิต จะต้องรักษาสมดุลของงานสมดุลชีวิตให้ลงตัวพอเหมาะพอดี

เราจะคานวณสัดส่วนสมดุลในการทางานคืออะไร?

ใช้ทางสายกลางในการทํางานและการดารงชีวิต 50-50 คืองานกับชีวิตจะต้องสมดุลกันในลักษณะ 50-50 บ้างานมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือความเครียดและสุขภาพไม่ดี บ้าใช้ชีวิตมากเกินไปสิ่งที่ได้กลับมาก็คือจะอดตายเอา ไม่มีเงินกิน ไม่มีเงินใช้ ฉะนั้นต้องให้ทั้งสองส่วนมาสมดุลกัน 50-50 นี่คือทางสายกลางสาหรับคนทํางาน

ประสบการณ์ของพระอาจารย์ มีคนบ้างานจนถึงขั้นเสียชีวิตบ้างหรือเปล่า?

มีลูกศิษย์ที่ทํางานหนัก เงินเดือนแค่ 50,000 แต่ทํางานเหมือนตัวเองได้เงินเดือน 3 แสน ผลคือเป็นโรคมะเร็งและรักษาอยู่ที่โรงพยาบาลหมอบอกว่าไม่พบสาเหตุจากพันธุกรรม พบอยู่สาเหตุเดียวคือแบกความเครียดนานเกินไปเงินที่หามาทั้งชีวิตต้องนามารักษาโรคมะเร็งทั้งหมด ฉะนั้นสาเหตุหลักของมะเร็งในตอนนี้คือความเครียดนี่คือตัวอย่างของโรค Workaholic โรคบ้างานทํางานมากเกินไปสุดท้ายต้องไปใช้เงินในโรงพยาบาล ไม่ได้ใช้เงินอย่างมีความสุข

อยากให้พระอาจารย์แนะนา วิธีผ่อนคลายในการทํางานของพวกมนุษย์เงินเดือน

ถ้าเราทํางานแล้วคุณภาพชีวิตไม่ดีแสดงว่าเรากาลังเดินผิดทางมันกาลังสุดโต่ง ฉะนั้นเวลาทํางานอย่ามัวแต่ทํางานให้สังเกตคุณภาพชีวิตของตัวเองด้วย เมื่อเราทํางาน มีเวลากินข้าวกับครอบครัว
ไหม เรามีเวลาพักผ่อนวันเสาร์วันอาทิตย์ไหม เรามีเวลาอยู่กับลูกและภรรยาไหม เรามีเวลาไปเที่ยวต่างจังหวัดบ้างหรือเปล่า ถ้าสิ่งเหล่านี้ได้หายไปในชีวิตแสดงว่าคุณได้เสียสมดุลชีวิตไปแล้ว ถ้าไม่ปรับมาสู่ทางสายกลางแสดงว่าอนาคตอันใกล้คุณกาลังปูวย เอาเงินที่หามาทั้งชีวิตมาใช้ในโรงพยาบาล นี่เป็น โรคอารยธรรม ที่กาลังเกิดขึ้นกับมนุษย์ในยุคทุนนิยมทั่วโลก ที่อเมริกา ที่ญี่ปุูนปูวยด้วยโรค Workaholic เป็นอันดับต้น ๆ ของโลก ประเทศไทยอันดับต้นๆของเอเชีย เพราะเราเครียดจากการเมือง เครียดจากเศรษฐกิจ เครียดจากแข่งขันในระบบทุนนิยมด้วยดังนั้นใครที่เป็นโรคบ้างานจะต้องระมัดระวังถามตัวเองด้วยว่า เรามีภาวะสมดุลงานสมดุลชีวิตแล้วหรือยัง อย่าทางานจนปูวยตาย อย่าหลงเสน่ห์อบายมุข อย่ามีความสุขจนลืมศีลธรรม

ถ้ามีคนถามพระอาจารย์ว่า งานจาเป็นต่อชีวิตหรือไม่…?

งานจาเป็นต่อชีวิตเพราะทุกคนต้องกินต้องใช้แต่ต้องไม่ลืมว่าถ้าไม่มีชีวิตมีงานก็สูญเปล่า

ความหมายของงานในแบบของพระอาจารย์คืออะไร…?

งานของเราก็คือการทําให้เขามีความสุข ทุกวันอาตมามีความสุขมากเพราะเป็นงานที่ไม่ได้ทําร้ายใครเลย อาตมาไปเทศน์ไปสอนไปบรรยายก็เหมือนเป็นการเอาความสุขไปโปรยให้กับคนทั่วทั้งสากลโลก ฉะนั้นทุก ๆ วันที่เดินทางออกจากวัดอาตมามีความสุขมาก ทางานเหมือนแสงเดือนแสงตะวันที่ชโลมผืนโลก ทาไปไม่หวังผลประโยชน์ หวังแค่ประโยชน์สุขที่เกิดขึ้นกับมนุษย์อาตมามีความสุขที่เห็นคนอื่นมีความสุข เป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากการทําให้คนอื่นมีความสุขเรียกว่าให้สุขแก่ท่านสุขนั้นถึงตัว ฉะนั้นชีวิตการทํางานของอาตมาก็ถือว่ามีความสุข เพราะได้ทํางานที่ตัวเองรัก และปรัชญาในการทํางานของอาตมาก็คือ งานของเราคือการทําให้เขามีความสุข

แล้วงานที่ดีที่สุด...คืออะไร…?

งานที่จะทําให้เราอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจและมีชีวิตที่มีความร่มเย็นในจิตใจ คืองานในอุดมคติที่มนุษย์ทุกคนพึงสร้างสรรค์พัฒนาขึ้นมาให้ได้ ย้าอีกครั้งหนึ่งคือ สามารถอยู่ได้ในทางเศรษฐกิจมีชีวิตที่ร่มเย็นในจิตใจ เรียกว่าในทางกายภาพก็อยู่ได้ ในทางใจก็ร่มเย็นเป็นสุขุ
สุดท้ายให้ก็ขอมอบพร 4 ประการให้กับคนไทย พลังทั้ง 4 เพื่อความสวัสดีของชีวิตคนไทย
1. พลังปัญญาของให้คนไทยลดความรู้สึกลงกลับมาใช้เหตุผลให้มากขึ้น
2. พลังความเพียรขอให้คนไทยพึ่งตนเองลดการพึ่งสิ่งศักดิ์สิทธิ์
3. พลังความสุจริตขอให้คนไทยร่วมกันต่อต้านคอรัปชั่นทุกรูปแบบแล้วหันมาเชื่อมั่นในความสุจริตโปร่งใส
4. พลังความสามัคคี ขอให้คนไทยเลิกเห็นแก่ตัวจนไม่เห็นหัวคนอื่น มาถือหลักธรรมใหม่ๆ ว่าส่วนไหนๆ ก็ไม่ยิ่งใหญ่เท่าส่วนรวม ลด ละ เลิก การแบ่งแยก ไทยเหลือง ไทยแดง ไทยน้าเงินให้เหลือเป็นไทยแลนด์ที่เป็นหนึ่งเดียว เท่านี้ชีวิตก็จะมีความสุข คนไทยทั้งประเทศก็จะมีความสุข เพื่อความสวัสดีของคนไทยให้เป็นพรปีใหม่ของเราชาวไทยทุกๆคน

ชมในรูปแบบ Clip vdo http://www.youtube.com/watch?v=aUaeueX3V5M

No comments:

Post a Comment